
กลุ่มบางจาก ยันพร้อมผลิตน้ำมัน SAF ตามแผน ก่อสร้างคืบแล้วกว่า 96% เตรียมเปิดโรงกลั่น 25 เม.ย. นี้ คาด COD พร้อมรับรู้รายได้ทันทีภายใน Q3/68 วางเป้ากำลังการผลิต 1 ล้านลิตร/วัน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจากยืนยันความพร้อมในการดำเนินงานโครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ทั้งในด้านวัตถุดิบ
เทคโนโลยี และตลาดรองรับ โดยถือเป็นผู้บุกเบิกการผลิต Neat SAF 100% รายแรกของประเทศไทย ด้วยการใช้วัตถุดิบจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil : UCO) และวัตถุดิบทางเลือก (ของเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอื่น ๆ) ภายใต้ระบบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC)

บริษัทได้มีการดำเนินการตั้งโรงกลั่นน้ำมัน SAF ปัจจุบันมีความก้าวหน้าด้านการก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 96% และพร้อมที่จะเปิดภายในวันที่ 25 เมษายนนี้ โดยคาดว่ากระบวนการดำเนินงานจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ปลายไตรมาส 2 ของปี โดยมีแผนเริ่มต้นจากการทดสอบสมรรถนะของโรงงาน (Plant Performance Test Run) และจะทยอยเพิ่มระดับการผลิต (Ramp-up) ไปสู่การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามสัญญาการจำหน่ายและแนวโน้มความต้องการของตลาด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในปลายไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายในช่วงเวลาเดียวกัน โดยแผนดำเนินการผลิตรวมอยู่ที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน
บางจากฯได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย SAF กับลูกค้าหลักแล้ว และรับจ้างการกลั่น (Tolling) อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเรามีซัพพลายที่จะนำมาผลิตน้ำมัน SAF แล้วประมาณ 25 ล้านลิตร ซึ่งเป็นทั้งในส่วนที่สะสมเอง และรับมาจากผู้จ้างกลั่น โดยบริษัทมีพันธมิตรที่จะซัพพลายน้ำมันใช้แล้ว หรือ UCO ให้เป็นรายใหญ่ 4-5 ราย และรายเล็กกว่า 4-5 ราย รวมถึงเป็นส่วนของประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยตัวโรงกลั่นจะสามารถเดินเครื่องได้ทันที 50% ของกำลังการผลิต
และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยทางบริษัทก็ต้องดูเงื่อนไขและความพร้อมในการเดินเครื่องแบบสมบูรณ์ 100% เนื่องจากในช่วงแรกเป็นช่วงที่ต้องสร้าง Ecosystem เต็มก่อน ผ่านการเตรียมความพร้อมและประเมินดีมานด์และซัพพลายในประเทศพร้อมกับคู่ค้า โดยโรงงานได้ออกแบบมาเพื่อผลิตและขายในประเทศ 100% ในปี 2030 แต่ในระยะใกล้นี้หากยังไม่มีแผนงานที่ชัดเจนในประเทศก็จะทำการส่งออกก่อน
แม้ในหลายประเทศยังไม่มีนโยบายบังคับผสม SAF ที่ชัดเจน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ความต้องการเชื้อเพลิง SAF ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากแรงขับเคลื่อนของเป้าหมาย Net Zero และการลดคาร์บอนในภาคการบิน ขณะเดียวกัน หลายภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป ได้เริ่มกำหนดเป้าหมายขั้นต่ำที่ 2% ภายในปี 2025 ซึ่งสะท้อนทิศทางที่ชัดเจนและสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ทั้งนี้ แม้ในระยะสั้นตลาด SAF อาจยังมีปริมาณเหลืออยู่บ้าง แต่ในระยะยาวเริ่มจากปี 2030 กลับมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะขาดแคลน เมื่อข้อกำหนดบังคับเริ่มทยอยมีผลในหลายประเทศทั่วโลก
“ไทยหากได้การอุดหนุนโดยตรงจากภาครัฐก็จะช่วยสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้เร็ว ซึ่งมั่นใจว่าในภาคการบินน้ำมัน SAF จะเป็นเพียวตัวเลือกเดียวในอนาคตที่จะตอบโจทย์กับความต้องการของสังคมในด้านการลดคาร์บอนได้มากที่สุด เพราะในมุมของเทคนิคการจะเปลี่ยนเครื่องบินไปใช้พลังงานไฟฟ้า หรือใส่แบตเตอรี่ก็จะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก” นายชัยวัฒน์กล่าว