กลุ่มอุตสาหกรรมถกเครียดรับมือทรัมป์ขึ้นภาษี “อาหาร” หนักสุดจาก 0% เป็น 36% ทันที

ส.อ.ท.ถก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม รับมือหลังทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้ไทย 36% ทำมูลค่าเสียหายกว่า 9 แสนล้านบาท ทำหลายกลุ่มชะลอการผลิต ต้นทุนพุ่ง เสียเปรียบคู่แข่ง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันนี้ (4 เม.ย.) ได้มีการเรียกประชุมด่วนทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อระดมสมองหามาตรการต่าง ๆ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งไทยถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36% มากกว่าที่ภาครัฐและเอกชนคาดการณ์ไว้เกือบ 3 เท่าตัว คาดมูลค่าเสียหายจากการขึ้นภาษีดังกล่าวราว 8-9 แสนล้านบาท

ซึ่งในที่ประชุมได้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ดังนี้ อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Nontariff Barriers-NTB)

1.อัตราภาษีสูงและข้อจำกัดด้านการนำเข้า สินค้าเกษตร : อัตราภาษีนำเข้าสูงในสินค้าเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์นมและอาหารแปรรูป, ยานยนต์และชิ้นส่วน : เผชิญภาษีนำเข้าสูง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : ภาษีนำเข้าไวน์สูงถึง 400%

2.มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS Measures) จำกัดการนำเข้าเนื้อวัวที่มีอายุมากกว่า 30 เดือน (BSE), ห้ามนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine), ห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากบางรัฐของสหรัฐ (HPAI) 3.ขั้นตอนศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า กระบวนการศุลกากรซับซ้อน ประเมินมูลค่าไม่แน่นอน มีความเสี่ยงในการทุจริต

สำหรับอุปสรรคด้านการลงทุน 1.ข้อจำกัดภายใต้พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (FBA), ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ในภาคบริการการเกษตร และโทรคมนาคม, ข้อจำกัดด้านการเปิดเสรีการลงทุน, แม้ BOI ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ยังมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนในการขออนุญาต

ADVERTISMENT

3.การค้าดิจิทัลและข้อกําหนดด้านข้อมูล (Digital Trade & Data Localization) พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ข้อมูลบางประเภทต้องถูกจัดเก็บในไทย, ข้อจำกัดการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน สร้างความไม่แน่นอนต่อบริษัท Fintech และ Cloud

ส่วนการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP Protection) 1.ประเทศไทยอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวังพิเศษ” (Special 301 Watch List) 2.ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ เว็บไซต์ผิดกฎหมายส่งผลเสียต่อผู้ผลิตเนื้อหาสหรัฐ 3.สินค้าลอกเลียนแบบ เสื้อผ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 4.การบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่อุปสรรคด้านการค้าเกษตร 1.ข้อจำกัดเกี่ยวกับสารกำจัดศัตรูพืชและพืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) ระบบใบอนุญาตนำเข้าและโควตากระบวนการยุ่งยาก โดยเฉพาะเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากนม

ADVERTISMENT

สำหรับ 20 อันดับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากไทยปี 2567 ได้แก่ อาหารสุนัขหรือแมว ข้าวที่สีบ้างแล้วหรือสีทั้งหมด ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ วงจรอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่า ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำด้วยเงิน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่พกพาได้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไม่รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่พกพาได้ และอุปกรณ์หน่วยเก็บความจำชนิดโซลิดสเตต

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ ยานยนต์ อาหาร พลาสติก และเคมีภัณฑ์ เนื่องจากอัตราภาษีที่สูงขึ้นทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบคู่แข่ง โดยผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลัก ด้วยมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรมของไทย

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทแม่ในการย้ายฐานการผลิต ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปสหรัฐมากกว่ารถยนต์ อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่ง

อุตสาหกรรมอาหาร ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะอาหารแปรรูปและสินค้าประมง เช่น ปลาทูน่าและกุ้งแปรรูป ซึ่งเดิมมีอัตราภาษี 0% แต่ถูกปรับขึ้นเป็น 36% ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

อุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งมีมูลค่าธุรกิจระหว่าง 5-6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก หากอัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 36% อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและสูญเสียส่วนแบ่งตลาด

อุตสาหกรรมเคมี มีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 11% ของทั้งหมด ซึ่งอาจลดลงหากมาตรการภาษีของสหรัฐยังคงดำเนินต่อไป อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์อุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน โดยมูลค่าการค้าลดลงจาก 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อุตสาหกรรมสิ่งทอ อาจต้องชะลอการผลิตและการส่งออก เนื่องจากผู้ซื้อต่างประเทศอาจปฏิเสธรับมอบสินค้าไทย เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าสูง ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมรองเท้าอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เนื่องจากประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและกัมพูชา ถูกเก็บภาษีสูงกว่า ทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้ดีขึ้น

ในขณะเดียวกัน กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ก็ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากถูกเก็บภาษี 25% ตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐสูงขึ้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้อาจต้องเผชิญกับคำสั่งซื้อที่ลดลง และความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล เนื่องจากคู่แข่งจากประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่ายังคงสามารถรักษาต้นทุนที่ต่ำกว่าได้

อย่างไรก็ตาม วานนี้ (3 เม.ย.) ส.อ.ท.ยังได้มีการประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อหามาตรการรับมือและหารือกับสหรัฐ อาทิ 1.เจรจาสร้างความสมดุลการค้าสหรัฐ ทั้งการนำเข้าและส่งออก โดยจะเสนอแนวคิดที่สร้างสรรค์ เช่น การนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เพื่อมาแปรรูปและส่งออกมากยิ่งขึ้น 2.แก้กฎหมายและภาษีนำเข้าไทย เพื่อสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยประเทศไทยมีความพร้อมที่จะนำเข้าจากสหรัฐประมาณ 4-5 รายการ เช่น ข้าวโพด และปลาทูน่า เป็นต้น

3.ออกมาตรการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการผลิตในประเทศไทยจริง เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และแผงโซลาร์เซลล์ เป็นต้น 4.ทบทวนภาษีและมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (Nontariff Barriers) เช่น กรณีรถมอเตอร์ไซค์ที่ไทยมีการตั้งภาษีไว้สูง

ทั้งนี้ นายเกรียงไกรได้มอบหมายให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ไปศึกษาข้อมูลภายในกลุ่มเพิ่มเติมว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด และหาจุดยืนร่วมกัน เพื่อ ส.อ.ท.จะได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และเสนอแนวทางให้แก่รัฐบาลเพื่อพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ดี ภาครัฐและเอกชนได้ร่วมเจรจา เพื่อเตรียมรับมือนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เพื่อพิจารณาแลกเปลี่ยนสินค้าต่อรองกับสหรัฐ เบื้องต้นมีกรอบสินค้าเกษตรหลายตัวที่จะเปิดให้มีการนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสินค้าหนัก อาทิ อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินรบ โดรน เป็นต้น

ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่แค่ลดการเกินดุลการค้าสหรัฐเท่านั้น แต่ต้องเร่งแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา และต้องออกมาตรการเร่งด่วนเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศไม่ให้เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศเหมือนเช่นปัจจุบัน