TFM รุกตลาดอาหารสัตว์น้ำ เล็งเป้า “ปลานิล-กบ-ปลาคัง”

ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ เดินหน้ารุกตลาดอาหารสัตว์น้ำ เปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ เจาะตลาดปลานิล-กบ-ปลาคัง ชี้ตลาดดีมานด์สูง มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท พร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เล็งเป้า “อินเดีย-อินโดฯ” เผยปีนี้คาดยอดขายโต 8-10% ลั่นเป้าหมายดันให้ได้หมื่นล้านภายใน 5 ปี

นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย เปิดเผยว่า ในปี 2568 ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ ยังคงพยายามรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ รักษาตลาดในประเทศโดยจะมุ่งขยายตลาดในพื้นที่ที่ยังมีโอกาส และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ ขณะเดียวกันได้เตรียมขยายสู่ตลาดอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าก้าวเป็นผู้นำตลาดอาหารปลาน้ำจืดในอนาคต

ล่าสุดเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ “ขุนศึก” อาหารปลานิลที่โดดเด่นในเรื่องช่วยให้ปลาโตเร็วและมีรูปร่างตรงตามความต้องการของตลาด, “กบทอง” อาหารสำหรับกบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรที่เลี้ยงกบเชิงพาณิชย์ และ “โปรฟีดปลากดคัง” อาหารปลากดคัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศไทย

“โดยเฉพาะปลานิล บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายการเติบโตรายได้ให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์เพียง 6% มีเป้าหมายจะขยายมาร์เก็ตแชร์ให้มากขึ้น โดยตลาดเบอร์หนึ่งปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ 20% ส่วนอาหารกบ เราถือว่าเป็นเบอร์หนึ่งของไทย มีส่วนแบ่งตลาดถึง 60%”

อย่างไรก็ดี ในกลุ่มสัตว์น้ำปัจจุบันมีแนวโน้มและทิศทางที่ดี ราคาสัตว์น้ำทุกตัวเพิ่มขึ้น เช่น ปลาราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปี ขณะที่ความต้องการปลาน้ำจืด เช่น ปลากะพง มีการบริโภคเพิ่มขึ้น และยังผลิตไม่เพียงพอ ส่วนข้อกังวลทรัมป์ 2.0 จะมีผลกระทบในกลุ่มอาหารสัตว์น้ำหรือไม่ บอกเลยว่าไม่มีกระทบ เพราะบริษัทเป็นผู้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ไม่ได้ส่งออก แต่ก็ไม่ประมาท ยังพร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายพีระศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนในตลาดต่างประเทศนั้น เป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของบริษัทในอนาคต และช่วยกระจายความเสี่ยงของรายได้ โดยบริษัทเริ่มส่งออกสินค้าไปยังประเทศศรีลังกา และต่อยอดสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเติบโต ได้แก่ อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยบริษัทได้ใช้จุดแข็งจากมาตรฐานการผลิตระดับสูงของไทยแข่งขันในเวทีโลก และการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศ ช่วยเสริมสร้างศักยภาพขยายตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละประเทศได้อย่างตรงจุด

ADVERTISMENT

สำหรับ 2 ตลาดสำคัญที่บริษัทวางเป้าหมายและขยายตลาดทั้งอินโดนีเซียและอินเดีย จะมีการขยายและลงทุนเครื่องจักรเพื่อผลิตอาหารสัตว์ตอบสนองความต้องการในตลาด เพราะเราเห็นโอกาสการเติบโตของตลาด และภายในอินโดนีเซีย อินเดียเอง ยังมีการลงทุนเลี้ยงสัตว์น้ำมากขึ้น จึงเห็นช่องทางในการขายอาหารสัตว์น้ำ นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายนอกเหนือจากการขายสินค้า จะยังสนับสนุนให้ความรู้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงอีกด้วย สำหรับงบประมาณในการลงทุน บริษัทมองไว้เฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในด้านพัฒนาและซื้อเครื่องจักรในการผลิตอาหารสัตว์น้ำเพื่อให้ได้คุณภาพและต้นทุนถูกลงด้วย

ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปใน 7 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม, มาเลเซีย, ศรีลังกา, บรูไน, อเมริกา, ไอวอรีโคสต์, สิงคโปร์ ส่วนภาพรวมธุรกิจในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวม ทั้งในและต่างประเทศแตะ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2573 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาท เติบโต 5.6%

ADVERTISMENT