
เอกชนลุ้นผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ เปิดรับสมัครสรรหาเสร็จเดือน พ.ค.นี้ ชี้ภารกิจหลักนำพา กฟผ.เปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิล สู่พลังงานสะอาด วางระบบขนส่งหนุนเอกชนทำ Smart Grid ชี้ระบบไฟฟ้าไทยล้าหลังเป็น 10 ปี ขณะที่หอการค้าจี้รื้อค่าพร้อมจ่าย ทบทวนสัญญาที่เสียเปรียบ เปิดทางลดค่าไฟฟ้า
รายงานข่าวจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 นายวรากร พรหมโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะประธานกรรมการสรรหาผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 17 ได้ลงนามประกาศเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อรับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ โดยได้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน-13 พฤษภาคม 2568 ซึ่ง นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ.คนปัจจุบัน จะครบวาระในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 คาดว่ากระบวนการสรรหาจะสามารถรู้ผลและนำเสนอให้บอร์ด กฟผ. อนุมัติได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2568
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ผู้ที่จะเข้ามาชิงตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ จะมาจากรองผู้ว่าการ กฟผ. ซึ่งมีหลายท่านที่น่าสนใจและถือว่าเป็นแคนดิเดตที่น่าจับตา เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละท่านได้ทำงานประสานกับฝ่ายการเมืองพรรครัฐบาลและพนักงานระดับปฏิบัติการของ กฟผ.ได้เป็นอย่างดี
หนุน กฟผ.มุ่งพลังงานสะอาด
นายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ด้านอนุรักษ์พลังงาน และ Grid Modernization สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สิ่งแรกที่ภาคเอกชนต้องการให้ผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ เดินหน้าเป็นนโยบายแรก คือ การสนับสนุนให้ กฟผ.ออกจากพลังงานฟอสซิล โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหินเหมืองแม่เมาะ ให้เข้ามาสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น
นอกจากนี้ กฟผ.ต้องมีความแข็งแกร่งในบทบาทของผู้ดำเนินการระบบขนส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission System Operator) เพื่อให้ศูนย์ควบคุมระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Distribution System Operator : DSO) รองรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ทั้งระบบ และควรพัฒนาให้เอกชนทํา Smart Grid ในระดับใต้ DSO ด้วย
“สิ่งที่เรามองไม่เห็นถึงความแอ็กทีฟของ กฟผ.เลย คือ การพัฒนาโครงสร้าง (Infrastructure) เรื่องระบบขนส่งไฟฟ้าในรูปแบบ Smart Grid ทั้งระบบ เห็นได้ว่าระบบไฟฟ้าของไทยล้าหลังไปเกือบ 10 ปี เราพูดถึงมาตลอด แต่ยังไม่ได้ทำจริงจังเลย ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นก็จะเป็นตัวขัดขวางให้ไทยไม่มีพลังงานสะอาดใช้ในอนาคต และมันก็แฝงอยู่ในต้นทุนค่าไฟฟ้าด้วย จึงอยากให้ผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่เข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง”
ส่วนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ เช่น แผนพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เราก็เห็นว่า กฟผ.แอ็กทีฟอยู่แล้ว ก็สนับสนุนให้เดินหน้า SMR ตามแผนต่อไป ซึ่งสิ่งแรกเลยที่อยากให้ผู้ว่าการคนใหม่ดำเนินการ คือ การร่วมมือกับทางทหาร ใช้พื้นที่ทหารสร้างโรงไฟฟ้า SMR จะช่วยสร้างความมั่นคง ยั่งยืน และได้ไฟฟ้าในราคาถูก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติด้วย
จี้ทบทวน AP หั่นค่าไฟ
นายอัศวิน ตีระวัฒนพงษ์ รองประธานคณะกรรมการพลังงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาคเอกชนอยากเห็นผู้ว่าการคนใหม่ดำเนินการนโยบายเร่งด่วนควรจะเป็นเรื่องของการเปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access-TPA) เพราะการไฟฟ้าทั้ง 3 จะต้องร่วมมือกันในการกำหนด ทั้งข้อกำหนดการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Code) และค่าใช้สาย (Wheeling Charge) ที่สอดคล้องกันและเป็นธรรมเพื่อให้สามารถเกิดการซื้อขายแบบ Direct PPA
ส่วนข้อเสนอแนะสำหรับแนวทางการลดค่าไฟ คือ ทบทวนสัญญาที่เสียเปรียบ จากการต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายให้แก่โรงไฟฟ้าเอกชน (AP) เช่น ค่าก่อสร้าง ซึ่งรวมถึงการชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เงินกู้ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน ค่าใช้จ่ายคงที่อื่น ๆ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากับ กฟผ.ในการเตรียมความพร้อม สำหรับส่งไฟฟ้าเข้าระบบ
ซึ่งทั้งหมดจะถูกนับเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของประเทศ และเปิดใช้ระบบการพัฒนาระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มสูงขึ้น (Grid Modernization) เพื่อรองรับการผลิตโดยผู้บริโภค โดยเฉพาะโซลาร์ภาคประชาชนในอนาคต เพื่อรองรับธุรกิจไฟฟ้าโดยบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้เอง หรือจำหน่ายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นผ่านระบบของการไฟฟ้า (National Grid)
“แนวคิดแต่เดิมของ กฟผ. เน้นการดูแลในประเทศเป็นหลัก ทำให้ขาดโอกาสที่จะทำให้ไทยทำเรื่อง Trading ได้ เช่น ไฟฟ้าเขื่อนจากลาว ซื้อมา 3 บาทแต่ถ้าสิงคโปร์ยอมซื้อที่ 5 บาท เราก็ควรจะรับซื้อมาแล้วขายต่อให้สิงคโปร์ คือถ้าทำการค้าแบบ Back to Back ได้ ก็จะเกิด Transaction ที่ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากส่วนต่างตรงนี้” นายอัศวินกล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้สนใจลงสมัครชิงตำแหน่งนั้น คาดว่าส่วนใหญ่จะมาจากบุคคลภายใน กฟผ. ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงพลังงานทั้งสิ้น ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าใครจะรับไม้สานต่อภารกิจ ถือเป็นบทบาทที่ท้าทาย ไม่เพียงแต่จะดูแลการสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้า ราคาค่าไฟฟ้า การสร้างสภาพคล่องที่ กฟผ.ยังต้องแบกรับภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่นั้น ยังคงรวมไปถึงการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่พลังงานสะอาด ถือเป็นแนวทางสำคัญที่ผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ที่ต้องผลักดัน