ซินเจนทา สานต่อ ‘เพาะดี กินดี’ พี่เลี้ยงเกษตรกรปลูกผักได้คุณภาพ

ซินเจนทา

เกษตรกรรมของไทย กำลังเผชิญการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง แหล่งน้ำ-ชลประทานที่ยังไม่เพียงพอ ประกอบกับรายได้ต่อครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่ต่ำ หากเทียบกับหลายประเทศ

ซินเจนทา ผู้นำด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่น ได้เข้ามาช่วยส่งเสริมเกษตรกรไทยในการเพาะปลูกพืช โดยเข้าไปถ่ายทอดความรู้ ทักษะ การเข้าถึงนวัตกรรมให้กับเกษตรกร และจากความสำเร็จของโครงการ “เพาะดี กินดี” ปี 1 ที่ดำเนินการไปเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มและอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกกว่า 120 ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรที่เข้าร่วมเพาะปลูกผักปลอดภัยและสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 2 เท่าตัว ทำให้ในปี 2568 ซินเจนทาเดินหน้าโครงการ “เพาะดี กินดี” ปี 2 เพราะโครงการนี้ไม่ใช่ส่งเสริมการเพาะปลูก แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับเกษตรกรด้วย

เพาะดี กินดี สานต่อปี 2

นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมทางการเกษตร กล่าวว่า เราได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเกษตรกรไทย รวมไปถึงการยกระดับความรู้ และการส่งเสริมการเพาะปลูก จึงทำให้ในปี 2568 โครงการ “เพาะดี กินดี” ปี 2 เกิดขึ้น และคาดว่าเกษตรกรจะยังคงเข้าร่วมต่อเนื่อง ซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้เกษตรกรเข้าใจว่า ตนเองไม่ใช่แค่ “ผู้ผลิต” แต่คือ “ผู้ประกอบการทางการเกษตร” ที่สามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างรอบด้าน จากความสำเร็จในปีแรก ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมมากกว่า 640 ราย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 175 ไร่ ในเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน และน่าน สร้างรายได้รวมกลับคืนสู่ชุมชนแล้วกว่า 1.6 ล้านบาท

“เรายินดีที่ได้เห็นการเติบโตและพัฒนาของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ‘เพาะดี กินดี’ การที่เกษตรกรไม่เพียงแต่มีความรู้ในการผลิต ยังเข้าใจกลไกตลาด กลไกการขนส่งผลผลิต และสามารถวางแผนการขายได้ด้วยตนเอง เกษตรกรบางรายสามารถปลดหนี้ได้ มีเงินเหลือเก็บ มีความมั่นใจในอาชีพของตัวเอง และไม่ต้องพึ่งพาคนกลางแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรของไทยอย่างยั่งยืน”

โครงการ “เพาะดี กินดี” ปี 2 จะยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายผลและพัฒนาเนื้อหาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไปของภาคการเกษตร โดยเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตร การสร้างเครือข่ายเกษตรกร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูป เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดในวงกว้าง พร้อมวางแผนขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย เช่น พื้นที่ภาคอีสาน

วรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ซินเจนทา
วรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์

ผลผลิตได้ GAP ราคาสูงกว่า

นายดิเรก เครือจินลิ ผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ มูลนิธิรักษ์ไทย หนึ่งในพันธมิตรของโครงการ กล่าวว่า เรามองเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่แค่ผู้ปลูกของส่งขาย การรวมตัวเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนช่วยให้เกษตรกรแลกเปลี่ยนความรู้ พัฒนาทักษะการทำการเกษตร รวมไปถึงการรู้จักตลาด ทั้งหมดนี้คือหัวใจของความยั่งยืน เกษตรกรหลายรายสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าสองเท่าตัว และโครงการนี้ก็แสดงให้เห็นชัดว่า ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริงจากจุดนี้

ADVERTISMENT

โครงการ “เพาะดี กินดี” ไม่ได้ทำงานเฉพาะกับเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อาหารอย่างครบวงจร ทั้งผู้รับซื้อ ผู้แปรรูป ไปจนถึงผู้ประกอบการด้านการผลิตอาหารที่ต้องการผลผลิตปลอดภัยไร้สารตกค้างและมีคุณภาพตามมาตรฐาน GAP ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพ ซึ่งสินค้าได้มาตรฐานแล้วการรับซื้อราคาก็จะปรับตัวดีขึ้น สูงกว่าท้องตลาด 20-30 บาทต่อกิโลกรัม

เป้าหมายต้องการให้เกษตรกรได้ใบรับรองสินค้าเกษตรปลอดภัย (GAP) ให้มากขึ้น อีกทั้งยังรวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และสร้างโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถจับมือเดินไปด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนการเกษตรสมัยใหม่อย่างยั่งยืน

ในยุคที่เกษตรกรต้องเผชิญทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากทั้งในและนอกประเทศ “เพาะดี กินดี” เชื่อมั่นว่าการส่งเสริมองค์ความรู้ พัฒนาเครือข่าย และสร้างตลาดที่มั่นคง คือหัวใจของการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง

เกษตรกรยืนยันปลูกผักดีขึ้น

นางสาวพิสมัย พฤกษาฉิมพลี สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจผักปลอดภัยบ้านห้วยตอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า เมื่อก่อนทำการเกษตรแบบดั้งเดิม ปลูกตามฤดูกาล ทำให้ช่วงฤดูฝน ผักจะไม่สวยเท่าฤดูหนาว ราคาก็ไม่ดี พอได้เข้าร่วมโครงการนี้ ตอนนี้เราปลูกผักได้ทั้งปี มีโรงเรือนควบคุมอุณหภูมิ ผลผลิตสวย นอกจากนี้ การได้มาตรฐาน GAP ก็ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเราด้วย ทำให้ขายได้ราคาดีกว่าผักท้องตลาดทั่วไป คนบริโภคปลอดภัย คนปลูกก็ปลอดภัย ตอนนี้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก

“จากเดิมที่เคยมีรายได้ไม่แน่นอน ทุกวันนี้สามารถวางแผนรายรับรายจ่ายได้ และมีเงินเหลือเพื่อนำไปต่อยอดการเกษตรของตัวเอง”

นายฐณธรณ์ ชัยการ จากกลุ่มวิสาหกิจผักปลอดภัยช่างเคิ่งบน อ.แม่แจ่ม บอกว่า เมื่อก่อนขายของแบบวันต่อวัน ต้องลุ้นตลอดว่าวันนี้จะได้รายได้เท่าไร แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการ เราเริ่มรู้แล้วว่าต้องปลูกอะไรให้ตรงกับที่ตลาดต้องการ วางแผนปลูกล่วงหน้าได้ ทราบราคาล่วงหน้าที่เป็นราคาหน้าฟาร์มและเป็นธรรม และมั่นใจว่ามีตลาดรับซื้อที่แน่นอน