
เศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัว AMATAV ไตรมาส 1/68 รายได้ลดลงเหลือ 863 ล้านบาท ย้ำฐานะการเงินยังแข็ง สินทรัพย์รวม 14,600 ล้านบาท เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการและติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป สู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ปี 2583
นายสุขุม พิทยาพิบูลพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2568 ว่า บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 863 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามที่ชะลอตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานที่ผันผวน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการตัดสินใจของภาคธุรกิจในประเทศ
สำหรับรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคในไตรมาสนี้อยู่ที่ 699 ล้านบาท ลดลงจาก 946 ล้านบาท หรือราว 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากการลดลงของปริมาณการใช้บริการจากลูกค้า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้อยู่ที่ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% แม้พื้นที่ขายจะลดลง แต่บริษัทสามารถปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจาก 25% เป็น 47% ได้สำเร็จ
โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น ซึ่งบริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสม และการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุน รวมรายได้อื่น ๆ 24 ล้านบาท
“แม้เศรษฐกิจเวียดนามยังคงเผชิญกับภาวะแรงกดดันจากภายนอก บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าสถานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 14,600 ล้านบาท และมีภาระหนี้สินรวมลดลง สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินอย่างรัดกุม และเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของประเทศ โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า GDP ของเวียดนามในไตรมาสแรกปี 2568 ขยายตัว 6.93% แม้ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค”
ปัจจุบัน อมตะ วีเอ็น มีที่ดินรองรับการขายในประเทศเวียดนามจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง บนพื้นที่รวม 714 เฮกตาร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเฟสที่ 3 เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น บนพื้นที่รวม 410 เฮกตาร์ ซึ่งยังมีศักยภาพในการขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ภายในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2583 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย