
สรท.หารือกับกระทรวงพาณิชย์ ร่วมผลักดันยุทธศาสตร์ระยะยาวให้ประเทศไทยก้าวสู่ชาติการค้า พร้อมชง 5 ข้อเสนอเร่งผลักดัน
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568 สรท.ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทยจากความท้าทาย ซึ่งเกิดจากความผันผวนและคาดการณ์ได้ยากของเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายทางภาษีและมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนมาตรการทางการค้าใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงบทบาทของประเทศผู้ผลิตเพื่อส่งออกรายใหญ่ ปัญหาโลกเดือด ส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัวทั้งภายในและภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดย สรท.ได้นำเสนอประเด็นสำคัญเพื่อการผลักดันการส่งออกอย่างยั่งยืนและมีข้อสรุปที่สำคัญดังนี้
ประการแรก สรท.เสนอให้รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมผลักดันแนวทางการพัฒนาประเทศสู่ชาติการค้า (Trading Nation Long-Term Strategy) โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นชาติพัฒนาแล้วภายในปี 2032 พร้อมทั้งเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานปฏิรูปโครงสร้างการค้าและการลงทุน (คปค.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ทั้งนี้ จากการหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เห็นพ้องข้อเสนอของ สรท. พร้อมทั้งยินดีร่วมมือในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบ และยินดีช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ของ สรท. เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางการเร่งแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของการส่งออกไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป โดย สรท.มีข้อเสนอที่สำคัญประกอบด้วย
1) เร่งพิจารณาข้อเสนอสำหรับการเจรจาที่สอดคล้องกับความคาดหวังของสหรัฐอเมริกา โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย
2) เร่งเดินหน้าด้านการตลาดเพื่อกระจายสินค้าไทยไปยังตลาดอื่นทั่วโลก รวมถึงเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักจากสงครามการค้า ซึ่งต้องมีการทำแผนภาพความต้องการสินค้าสำคัญ หรือ Product Champion ของประเทศไทย กับตลาดเป้าหมายทุกแห่งที่มีความต้องการสินค้าเหล่านั้น เพื่อให้มีการเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น และให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
3) ส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ความตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ เร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป และรวมเปิดการเจรจากับตลาดสำคัญอื่น อาทิ เม็กซิโก และละตินอเมริกา
4) ให้ความสำคัญและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศ เพิ่มการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าเพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศ เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสินค้าผ่านแดน สินค้าถ่ายลำ และการใช้สิทธิประโยชน์ในเขตปลอดอากร (Freezone) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิสินค้าไทยไปยังประเทศที่ 3
5) ยกระดับความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Regional Comprehensive Partnership) ในการหารือกับสหรัฐอเมริกา และประเทศศักยภาพอื่น เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจประเทศไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูง และสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกายังคงสูงถึง 81-82% ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีท่าทีและรักษาระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ เน้นความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพื่อให้เกิดความสมดุลและเป็นมิตรกับทุกฝ่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า อาทิ การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ในลักษณะของประเทศผู้สังเกตการณ์เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างการเจรจากับสหรัฐอเมริกา เป็นต้น