
กองบรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ จัดทำฉบับพิเศษ BEYOND CRISIS 2025 ฉบับนี้ ในวาระวันเกิด สู่ปีที่ 49 ของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เพื่อสะท้อนย่างก้าวสำคัญและมุมมอง วิธีคิดในการฝ่าวิกฤตทางเศรษฐกิจที่กระทบทั้งโลก ซึ่งในฐานะสื่อที่มีบทบาทในการเสนอข่าวสารบันทึกและวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่อาจละเลยได้
นโยบายภาษีของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง สร้างแรงสั่นสะเทือนลึกและกว้างขวาง ผู้รับผลกระทบ มีตั้งแต่มหาอำนาจอย่างจีน ไปจนถึงประเทศน้อยใหญ่ รวมถึงไทย ดังข่าวสารที่นำเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ และประชาชาติธุรกิจออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง
ในฉบับพิเศษ ยังได้นำเสนอความเป็นมาของ ประชาชาติธุรกิจ ผ่านข้อเขียนในอดีตของ “ขรรค์ชัย บุนปาน” ประธานบริษัทมติชน ผู้บุกเบิกสื่อต่าง ๆ ในเครือมติชนมาด้วยตนเองอย่างไม่เคยยอมจำนน จากยุคที่ไม่เปิดกว้างให้กับบทบาทสื่อที่จะมายืนข้างคนส่วนใหญ่ รายงานข้อความจริงและวิเคราะห์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ มาจนกระทั่งปัจจุบัน
และทัศนะของ “ปราปต์ บุนปาน” กรรมการผู้จัดการเครือมติชน Generation ใหม่ของเครือมติชนที่มารับไม้ต่อจากคนรุ่นก่อนหน้า ในบทสัมภาษณ์พิเศษโดยกอง บ.ก.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ซึ่งจะฉายภาพทิศทางในอนาคตของประชาชาติธุรกิจ
ในปี 2025 – 2568 นี้ ประชาชาติธุรกิจ เน้นหนักยิ่งขึ้นกับการก้าวสู่การเป็นสื่อออนไลน์ หลังจากปรับโครงสร้างการทำงานของกองบรรณาธิการในปีก่อนหน้านี้ โดยรักษาวิธีคิดในเชิงหลักการ ผสมผสานไปกับมุมมองใหม่ของโลกยุคดิจิทัล และกำลังพิสูจน์ตนเองด้วยผลงานข่าวสารและบทวิเคราะห์ต่าง ๆ
ด้วยความเชื่อและความหวังว่า บทบาทสื่อในการสื่อสารความรู้ความเข้าใจ ด้วยจุดยืน ความตั้งใจ และหลักคิด จะช่วยให้การฝ่าข้ามวิกฤต ไม่ว่าจะซับซ้อนยุ่งยากอย่างไร เป็นไปได้เสมอ

ปราปต์ บุนปาน
เอ็มดีมติชน กับ ‘ประชาชาติธุรกิจ’
ประชาชาติธุรกิจ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2519 ผ่านเส้นทางคดเคี้ยวบนรายทาง ก่อนจะมาเป็น หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ และประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ในเครือมติชน ซึ่งมีภารกิจทางข่าวสารมากมายรออยู่ในวันข้างหน้า
ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 49 “ประชาชาติธุรกิจ” 29 พฤษภาคม 2568 ปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บมจ.มติชน ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิด ทัศนะ และอนาคตที่เขาคาดหวังของสื่อหัวแรกใน “เครือมติชน” และสื่อธุรกิจราย 3 วันฉบับแรกของไทย
ในฐานะนักอ่าน ผู้สนใจเหตุการณ์บ้านเมืองและคนทำงานสื่อ มีมุมมองหรือความเห็นต่อประชาชาติธุรกิจอย่างไร
ประชาชาติธุรกิจเป็นสื่อที่มีเซ็กเมนต์ชัดเจน คือ กลุ่มธุรกิจ เนื้อหาอยู่ในโทนซีเรียส ไม่ใช่แมสมีเดียแน่ ๆ เป็นสื่อธุรกิจที่เน้นหนักไปทางมหภาค นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ในฐานะคนอ่านหรือคนที่ติดตามสื่อ เราเห็นชัดว่า ประชาชาติธุรกิจคุยกับใครเป็นหลัก อาจจะไม่ได้คุยกับชาวบ้านรากหญ้าได้ดีเสียทีเดียว แต่คุยกับผู้กำหนดนโยบายทั้งภาครัฐและเอกชน ผมคิดว่าประชาชาติมีพลังและจุดเด่นตรงนี้
ในฐานะฝ่ายบริหาร คาดหวังการเติบโตและการพัฒนาของประชาชาติธุรกิจอย่างไร
ในหน้าประวัติศาสตร์ ประชาชาติคือหัวดั้งเดิม ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ยุค 2475 ต่อมาก็เป็นสื่อและหนังสือพิมพ์อันดับแรกของเครือมติชน เกิดขึ้นและปรับตัวผ่านเหตุการณ์ในยุคเผด็จการ ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจ เราเอาหัวนั้นมาในฐานะจิตวิญญาณของคนทำสื่อในระบอบประชาธิปไตย และเราก็เอามาปรับมันเป็นประชาชาติธุรกิจ
หนังสือพิมพ์ ณ ยุคเวลานั้น ช่วงที่สังคมไทยยังเป็นเผด็จการ หากคุณยังอยากดำรงจิตวิญญาณสื่อไว้ อยากหาเลี้ยงชีพด้วย อยากให้ธุรกิจไปได้ด้วย คุณต้องทำให้มันเป็นประชาชาติธุรกิจ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่า อัตลักษณ์ตัวตนของประชาชาติจริง ๆ มันอยู่ระหว่างอันนี้ เราจะดำรงจิตวิญญาณความเป็นสื่อมวลชนในสังคมประชาธิปไตยและอยู่รอดในเชิงธุรกิจได้อย่างไร
อาจจะไม่ต่างกับสถานการณ์ปัจจุบันมากนัก ปัญหาคือชัดเจนแล้วว่า อุตสาหกรรมสื่อ คนทำสื่อดั้งเดิม มันเหนื่อย เหนื่อยในเชิงธุรกิจ เหนื่อยในเชิงวิชาชีพ และเหนื่อยในอะไรหลาย ๆ อย่าง ขณะเดียวกันถ้ามองในมุมของมติชนทั้งองค์กร โพสิชั่นของประชาชาติธุรกิจ มีศักยภาพทำสื่อให้อยู่รอดในโลกธุรกิจ
ผมรู้สึกว่าการเป็นสื่อที่ทำเรื่องธุรกิจ เศรษฐกิจ อย่างต่ำ ๆ ต่อให้สภาพการณ์ของสื่อแย่ยังไง มันไม่ยากลำบากเท่าสื่อการเมืองแน่ ๆ สอง คือ มันมีพลังในการดึงเม็ดเงิน และ สาม มันสามารถสะท้อนปัญหาของคนในวงกว้างได้ เมื่อเจอปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ ๆ ฉะนั้นผมเลยคิดว่าโพสิชั่นของประชาชาติ มีลักษณะผสมผสานกันอยู่ในองค์ประกอบพวกนี้
บทบาทสื่อกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน เข้าใจว่าเมื่อก่อนเราเป็นคนกำหนดเกม แต่สถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ตอนนี้ดูเหมือนเราจะเป็นคนตามเกม
ในทางเศรษฐกิจ ชัดเจนแล้วว่า สื่อทำงานเหนื่อยและยากขึ้นด้วยเม็ดเงินที่ลดลง มันเป็นจุดท้าทายในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะองค์กรสื่อที่ยังมีคนจำนวนมาก เมื่อสภาพเศรษฐกิจมันแย่ ก็นำไปสู่ความท้าทายในเชิงวิชาชีพนั่นแหละ ต้องยอมรับว่า นิยามวิชาชีพของคนทำสื่อ หรือเส้นแบ่งบางอย่างที่เคยชัด ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันมันอาจจะเบลอขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่โพสิชั่น ผมรู้สึกว่า ถ้าคุณนิยามว่าเป็นสื่อการเมือง สื่อเพื่อสังคม การต่อสู้เพื่อสังคมชัดเจน อันนี้ก็จะเบลอยาก
แต่ผมยังรู้สึกว่าสำหรับสื่อหัวธุรกิจ อาจจะเบลอได้เร็วกว่าหน่อยหรือเปล่า หรือบางสื่ออาจจะเบลอตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ทุกเจ้าหันมาจัดอีเวนต์ เป็น Event Organizer กันหมด เมื่อก่อนมันไม่ใช่ฟังก์ชั่นของสื่อแน่ ๆ แต่ปัจจุบันผมว่า มันเป็นการที่ตัวเม็ดเงินมา shape วิธีการทำงานของสื่อ
ยากที่สุดในการเป็นผู้นำองค์กรสื่อคืออะไร ?
ผมว่าจุดยากในปัจจุบันคือ การทำธุรกิจ ต้องยอมรับว่า เรามีสินค้า แต่ก็พูดได้เต็มปากว่ามันไม่ใช่สินค้าจำเป็นในการดำรงชีวิตของผู้คน ไม่ใช่สินค้าในการอุปโภคบริโภค ยุคหนึ่งคุณอาจจะซื้อหนังสือพิมพ์ 5 บาท 10 บาท ติดตัวไปได้บ้าง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ choice ในชีวิตเขาแล้ว
ถ้าจะบอกว่า ข่าวสารยังจำเป็นอยู่ เกมต่างๆ ก็บีบให้เราไปทำคอนเทนต์ฟรีในโลกออนไลน์มากขึ้น มันคือโจทย์ในช่วง 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา สื่อเจอเรื่องนี้หนักขึ้นมาตลอด
อีกโจทย์หนึ่งในฐานะที่เราเป็นองค์กรสื่อที่อายุมาก ทำงานมาอย่างยาวนาน โจทย์ยากคือ เมื่อมันต้องเปลี่ยน จะเปลี่ยนยังไงและเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะ หนึ่ง เราต้องดีลกับคนจำนวนมาก สอง ดีลกับวัฒนธรรมการทำงาน
การเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่ากับการสร้างสิ่งใหม่ การสร้างสิ่งใหม่มีแนวโน้มจะง่ายกว่าอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าให้ใหม่ขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องที่คิดว่าจะทำได้โดยเร็ว มันก็มีกระบวนการที่ต้องสื่อสาร ต้องพูดคุย ต้องทำอะไรอีกมากพอสมควร
มองเผิน ๆ เราจะนึกว่ามันเป็นเรื่องแค่ระบบการทำงาน แต่จริง ๆ แล้วมันคือเรื่องวัฒนธรรม มันอยู่ในแบบแผนและพฤติกรรมของคน เวลาจะคุยกันจริง ๆ แล้วไม่ง่าย มันคือการที่ทุกคนต้องร่วมกันปรับวิถีชีวิตตัวเอง
ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน คุณเป็นผู้นำประเภทใจเย็นหรือใจร้อน ?
ผมว่ามันก็ผสมกันไป คืออาจจะมีบ้าง บางอย่างที่เราคิดว่าทำได้เร็ว แต่พอเข้าสู่กระบวนการ เราก็จะรู้แล้วว่า หลายอย่างทำได้ไม่เร็วนัก หรือไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของวัย ถ้าช่วงอายุน้อยกว่านี้ อาจจะมีความเร่าร้อน แต่เมื่อรู้จักคน ทำงานกับคนมาสักพักใหญ่ ๆ แต่ละอย่างมันมีวิธี มีธรรมชาติของมันอยู่เหมือนกัน
วางไทม์ไลน์ในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
ผมมองว่าเราจะเดินหน้าไปด้วยแรง push จากข้างนอกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงเม็ดเงินหรือเทคโนโลยี สุดท้ายทุกคนจะตระหนักตรงกันว่า มันมีจุดหนึ่งที่เรารับรู้แรงต่าง ๆ จากภายนอกว่า เฮ้ย..เราอยู่แบบเดิมไม่ได้นะ เราจะต้องเปลี่ยน ซึ่งรู้สึกว่ามันจะชัดเจนแน่ ๆ
ผมเชื่อว่า ทุกคนในอุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมของเมืองไทย สื่อ นสพ.ก็ดี สื่อทีวีก็ดี รับรู้แล้วว่า ไม่มีทางจะเติบโตขึ้น เราอาจจะยังเถียงกันอยู่ว่า เฮ้ย..มันจะตายจริงไหม จะตายเร็ว ๆ นี้จริงเหรอ หรือจะมีที่ทางพอให้มันดำรงอยู่ในตลาดด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งไหม ผมว่ามันยังพอเถียงกันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่เถียง เราว่ามันไม่มีความฝันแล้วใช่ไหม ? กับเม็ดเงินที่จะ spend มาให้สื่อ 2 ประเภทนี้ ทุกคนเข้าใจตรงกัน และรู้แล้วว่า เฮ้ย..ตัวเองต้องปรับตัว
เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงมันจะแรง และ push ชัดเจนขึ้น ถึงจุดที่ว่า เออ..มันจะเลิกเมื่อไหร่ ต้องหยุดอะไรบางอย่าง หรือสุดท้ายจะปรับไปสู่อะไร ด้วยวิธีการอย่างไร ด้วยความที่สื่อไม่ได้เป็นธุรกิจที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายแล้วปัจจัยภายนอกจะมาคอยบีบเราให้ต้องปรับและเปลี่ยนไป
ขณะเดียวกันพอเป็นองค์กรใหญ่ อายุเยอะ เรื่องเร็ว-ช้าเป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง เพราะถ้าแรงกดดันภายนอกมันแรง อันนี้มันก็ต้องเร็ว ช้าไม่ได้ แต่อีกจุดหนึ่งคือ ผมยังรู้สึกว่า องค์กรที่ใหญ่และอายุเยอะ มีจุดท้าทายว่า ต่อให้เจอแรงบีบว่าให้เปลี่ยนเร็ว พอเจอกระบวนการเปลี่ยนแปลง บางทีมันอาจจะไม่ได้ 100% อาจจะได้ 60 70 80% และยังมีจุดที่จะต้องแก้ไขปัญหากันต่อ ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากผลักดันคือ การสื่อสารให้ทุกกอง บ.ก.กลับไปเป็นตัวเอง หรือกลับไปที่จุดแข็งของตัวเอง ?
ใช่ อันนี้ผมว่าในเครือมติชนเองได้เปรียบ วิสัยทัศน์ของคนทำงานรุ่นแรก บรรดาทีมก่อตั้ง ต้องยอมรับว่าน่าชื่นชม เขาแบ่งสื่อในเครือมติชนออกมาเป็นแบบนี้ แต่ละหัวมีศักยภาพที่ชัดเจน มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ สุดสัปดาห์ ศิลปวัฒนธรรม เทคโนโลยีชาวบ้าน เส้นทางเศรษฐี
ถ้า 7 หัวชัดเจนในแบรนด์และโจทย์ของตัวเอง มันจะเป็นแต้มต่อที่สำคัญมากของเราในการอยู่รอดในธุรกิจสื่อปัจจุบัน
เอาง่าย ๆ ถ้ามีสื่อบางเจ้า อยากเป็นสื่อธุรกิจและการเงินที่เข้มแข็ง หมายความว่า เขาต้องลงทุนในทรัพยากรจำนวนมากเพื่อให้ได้มา ทั้งตัวบุคคล ข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำข่าว หรือหากเป็นสื่อในกลุ่มแมส อยากจะมีคอนเทนต์แบบมติชนสุดสัปดาห์ หรือศิลปวัฒนธรรม คอนเทนต์ที่มี value สูงนิดนึง มันคือการลงทุนทั้งนั้น แต่เครือมติชนไม่ต้องไปลงทุนเยอะแบบนั้น เพราะโครงสร้างถูกแบ่งซอยมาอยู่แล้ว
เพียงแต่โอเคล่ะ ด้วยสถานการณ์และวันเวลาที่ผ่านไป อาจมีสภาพการณ์ที่แต่ละแบรนด์เบลอ ๆ เข้าหากันไปบ้าง ลดทอนความเข้มแข็งของตัวเองไปบ้าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมสื่อสารประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา พยายามย้ำตรงจุดนี้ว่า ถ้าเรากลับมารื้อฟื้นตัวตนของตัวเองให้เข้มแข็งในโจทย์ตั้งต้นของตัวเองก่อน เราจะเห็นว่า สื่อในเครือมติชนจริง ๆ มันครอบคลุมนะ มีพลัง ถ้ามันแยกบทกันเล่น และร่วมกันเล่นในบางภารกิจ
มันตอบโจทย์ทางการตลาด ตอบโจทย์ธุรกิจอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยแต่ละคนหรือทั้งเครือมติชนเองอาจจะลืมจุดนี้ไปเหมือนกัน คือ เมื่อมองในภาพรวมขององค์กร เราเป็นคนทำสื่อที่ multifunction มาก
ที่ผ่านมาตัวชี้วัดหลักเป็น “ยอดวิว” เลยทำให้องค์กรวิ่งห่างออกไปจากสิ่งที่ตัวเองเป็น ?
ผมว่านั่นแหละ เป็นสภาวะเฉพาะ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเลี่ยงได้ยาก ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเราเห็นชัดว่า สื่อสิ่งพิมพ์อยู่ในช่วงขาลง โมเดลธุรกิจของการทำสื่อมันไปได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีช่องทางที่บอกว่า เออเว้ย..การทำสื่อออนไลน์ให้มียอดเยอะ สร้างความป๊อปปูลาร์ในแพลตฟอร์มนั้น ๆ สามารถสร้างเม็ดเงินได้ แล้วยุคหนึ่งก็ชัดเจนว่า แทบจะมาทดแทนส่วนที่ขาดหายไปได้ด้วยซ้ำ
ฉะนั้นในฐานะคนกำกับองค์กรสื่อหรือคนทำธุรกิจสื่อ ใครมีอำนาจตัดสินใจ ก็ต้องไปทางนั้นนั่นแหละ ผมว่าเป็นกันทุกที่ แต่โอเค ราคาที่ต้องจ่ายมันก็มี ด้านหนึ่งเราก็ตระหนักแล้วว่า 10 ปีผ่านไป เราพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่างเดียวไม่ได้ เราไม่ได้กำหนดเกมอะไรเองเลย
พอทำงานไปเมื่อโจทย์มันเปลี่ยนโดยไม่ทันตั้งตัว ก็ทำให้ทำงานลำบาก เพราะฉะนั้นเราอยู่ในจุดที่ต้องมาทบทวนกันว่า ตัวตน จุดแข็ง จุดเด่นของเราคืออะไร สุดท้ายแล้วผมว่าสถานการณ์มันย้อนกลับไปสู่ว่า สื่อเองต้องพรีเซ็นต์ตัวเอง ต้องขายตัวเอง อัตลักษณ์ตัวเองในฐานะคนทำสื่อให้มากขึ้น
มันคิดใคร่ครวญได้ในหลากหลายปรากฏการณ์ ตอนนี้มันเห็นผลบางอย่าง หลายอย่างไม่ใช่ผลที่พึงปรารถนา เอาง่าย ๆ คือแม้แต่ผมเอง ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ยังรู้สึกว่าคอนเซ็ปต์แบบสื่อต้องเป็น gatekeeper มันเชย โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว คุณจะมาเป็น gatekeeper ทำไม เมื่ออำนาจในการทำสื่อและอำนาจในการบริโภคสื่อมันไหลไปที่ผู้คนด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย
แต่ ณ ปัจจุบัน มีหลายปรากฏการณ์ที่เราต้องกลับมาคิดทบทวนเยอะเหมือนกัน เพราะโลกของสื่อในโซเชียลมีเดีย information มันล้น กลายเป็นว่า การต้องอ่านคอมเมนต์ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องบันเทิง เรื่องบนเตียง เรื่องอื่น ๆ ทำเราเขวไปเยอะ เสียเวลาไปมาก บางอย่างมันไปไกล ไปด้านลบอย่างที่เราเองก็ไม่อยากเชื่อ พอมารู้ตัวอีกทีก็หยุดยาก ในแง่ผลกระทบจากงานออนไลน์จริง ๆ ที่ไม่มีการกลั่นกรอง
แปลว่าในภาพรวม มันมีเกมในแต่ละช่วงเวลาที่สื่อต้องปรับ ?
ใช่ ๆ ผมว่ามีบริบทเฉพาะของมันอยู่อะ คือไม่สามารถไปโทษคนทำสื่อในยุค 10 ปีก่อนได้เหมือนกันว่า เฮ้ย ทำไมอยู่ดี ๆ คุณบ้ายอดไลก์ ยอดคลิก เอาจริง ๆ ตอนนั้นมันมีเรื่องเม็ดเงินและหลักฐานสนับสนุนชัดเจนว่า ถ้าเราเคร่งกับเรื่องนั้น มันจะได้เม็ดเงิน แต่พอในสภาพปัจจุบัน มันกลายเป็นอีกแบบ เราก็ต้องมาคิดโจทย์ใหม่
มุมมองต่อประชาชาติธุรกิจในปีนี้ และต่อๆ ไป
ผมคิดว่าประชาชาติธุรกิจ หลักวิชาชีพ เนื้อหา หรือวิธีการนำเสนอ ไม่ได้อยู่ในจุดที่อ่อนแอลง เพียงแต่มีจุดท้าทายว่า จะปรับตัวให้เข้ากับสื่อและเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน ประชาชาติยังเป็นสื่อที่คนเชื่อถือและเชื่อมั่นได้ คนอ่านเข้าใจว่าทำหน้าที่อะไร และจะตอบสนองเขาได้อย่างไร
อีกโจทย์คือการรีดศักยภาพ ยังมีทางอีกหลายเส้นมาก ๆ ที่ประชาชาติธุรกิจจะเดินไป ที่ผ่านมาเราอาจจะทำงานกับโจทย์เดิม วิถีเดิม ไม่ได้คิดถึงอีก 3 4 5 เส้นทางนั้นอย่างจริงจัง ที่ผมพยายามจะสื่อก็คือ มันถึงเวลาที่เราจะคิดถึงทางรอดและทางเลือกอย่างจริงจังมากขึ้น และหลายอย่างจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติในเวลาอีกไม่นาน