ซอฟต์พาวเวอร์ข้าวไทย ‘ไก่แจ้’ สานฝันขึ้นชั้นครัวโลก

ธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล
ธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล

ความกังวลเรื่องกำแพงภาษีตอบโต้การค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36% ซึ่งแม้ว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างระยะเวลาเลื่อนบังคับใช้ 90 วัน แต่ถึงกระนั้น ผู้ส่งออกไทยรอดูด้วยใจระทึกว่า รัฐบาลจะสามารถเจรจาต่อรองให้ได้รับการผ่อนปรนหรือไม่

โดยเฉพาะในภาคการส่งออกข้าวไทย ซึ่งเดิมอัตราภาษีนำเข้าแทบจะเป็น 0% ถูกมองว่า หากถูกเรียกเก็บภาษีถึง 36% คงแข่งขันได้ยาก

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์ คุณกอล์ฟ-นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวสารตราไก่แจ้ และข้าวสารตรากระเช้า รวมถึง บริษัท เคเจ เวิลด์ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ส่งออกข้าวสารตราไก่แจ้ และบริษัท ทีอาร์ ไทยฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตขนมตราแม่นภา ถึงปัญหา อุปสรรคของการส่งออกข้าวไทย ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่มีความแน่นอน

ปี’68 เพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออก

ปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการทำตลาดข้าว จากปีก่อนสัดส่วนขายในประเทศ 70% และส่งออก 30% มาเป็นเพิ่มสัดส่วนส่งออก 40% แต่จะยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมา คือ เติบโต 5-10% หรือรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก

การปรับการทำตลาดครั้งนี้ เพราะเล็งเห็นโอกาสการส่งออก ซึ่งมีการขยายตลาดไปในหลายประเทศ เช่น ตลาดสหรัฐ ยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งเรากระจายไปเกือบทุกทวีป ขณะเดียวกันตลาดในประเทศ ปีนี้บริษัทขยายกลุ่มลูกค้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าฟู้ดเซอร์วิส ห้างโมเดิร์นเทรด โรงแรม ร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินค้ามากกว่า 300-400 SKU เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค มีสินค้าบรรจุถุงหลากหลายขนาดให้กับลูกค้าได้เลือกซื้อ

เช่น ขนาด 5 กก., 15 กก. และ 49 กก. ภายใต้ตราไก่แจ้ และตรากระเช้า ซึ่งเป็นข้าวพรีเมี่ยมมากขึ้นนอกจากนี้ยังมีการขยายตลาดสินค้าใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น ข้าวถุงขนาดเล็กทำเป็นข้าวบริจาค รวมถึงปลากระป๋อง เครื่องปรุง พริกไทย หรือสินค้าพวกของว่างตราแม่นภา เส้นก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น

“เราจัดขนาดสินค้าไว้หลากหลาย ที่เป็นที่นิยม มีครบทุกวาไรตี้ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวขาว ข้าวหอมปทุม รวมไปถึงข้าวสี ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวสุขภาพ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราทำมานานแล้ว แต่ตลาดข้าวเพื่อสุขภาพยังเติบโตไม่สูง”

ADVERTISMENT

ส่วนแม่นภามีการขยายส่งออกเพิ่มมากขึ้น ได้รับผลการตอบรับที่ดีและเริ่มขยายตลาดส่งออกไปตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา ส่วนสินค้าอื่น ๆ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ที่ทำจากข้าว ปลากระป๋อง เนื่องจากมีการบริจาคช่วยน้ำท่วม นำข้าวไปแจก จึงเพิ่มสินค้ากลุ่มเครื่องปรุง พริกไทย พริกป่น น้ำปลาพริกปรุงรส

เรายังเชื่อมั่นว่า ตลาดส่งออกข้าวไทยยังเติบโตได้อยู่ เห็นได้จากงานแสดงสินค้า THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ สิ่งที่ภาครัฐควรต้องเร่งทำ คือ การสร้างความเชื่อมั่น สร้างการรับรู้ในข้าวไทย ให้ผู้บริโภคต่างชาติได้รู้จัก ได้ทดลองเพื่อให้รู้ถึงความแตกต่างของข้าวไทยกับข้าวชาติอื่น ให้รู้ถึงคุณภาพและมาตรฐานที่สูงซึ่งปัจจุบันผู้ซื้อที่เป็นผู้นำเข้าข้าวไทย ต่างก็ยอมรับในคุณภาพของข้าวไทยอยู่แล้ว แม้ว่าข้าวไทยจะมีราคาที่สูงกว่า ก็ยังได้รับการยอมรับ แต่การค้าการส่งออกข้าวจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าผู้บริโภคในต่างประเทศขยายเพิ่มมากขึ้น

จี้รัฐเร่งเจรจาต่อรองภาษีสหรัฐ

ส่วนปัญหาการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐนั้นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังสามารถทำการตลาดได้อยู่ ผู้ซื้อยังคงนำเข้า แต่อาจมีการชะลอบ้าง แต่เป็นช่วงสั้น ๆ ขณะนี้ถือว่าเป็นปกติ คำสั่งซื้อยังมีเข้ามา โดยภาษีพื้นฐานที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 10% ไม่สร้างปัญหาเท่าใดนัก เนื่องจากถูกเก็บเท่ากันทุกประเทศ ทำให้ข้าวไทยยังพอทำตลาดได้อยู่ แต่หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีอีก 36% มีผลกระทบแน่นอน เพราะต้นทุนข้าวจะเพิ่มสูงมาก ลูกค้าผู้นำเข้าอาจจะขายสินค้าลำบาก

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภาพรวมสินค้าไทยยังมีโอกาสอยู่ และน่าจะปรับตัวรับมือได้ เพราะที่ผ่านมาเราเคยเจอสถานการณ์ที่หนักกว่านี้ โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 การส่งออกเจอต้นทุนค่าขนส่งสินค้าทางเรือที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แต่เราก็ยังสามารถผ่านมาได้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ไทยจำเป็นต้องเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ต่ำที่สุด โดยคาดหวังว่าเท่าที่ถูกเรียกเก็บในขณะนี้ คือ ภาษีพื้นฐาน 10% น่าจะพอได้อยู่ ไม่อยากให้สูงไปกว่านี้ หรืออย่างน้อยที่สุด ต้องได้ในอัตราที่ต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง เวียดนาม เพราะเวียดนามส่งออกข้าวคล้ายกับไทย หากไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่าจะแข่งได้ยาก จะเสียโอกาส

ค่าบาทกระทบต้นทุนส่งออก

สำหรับสถานการณ์ข้าวในปี 2568 เชื่อว่าผลผลิตข้าวจะดี เพราะสภาพอากาศเป็นใจ มีน้ำมากพอ ทำให้ผลผลิตเยอะ ไม่เกิดปัญหาขาดแคลนอย่างแน่นอน แต่สำหรับแนวโน้มราคานั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดีมานด์ ซัพพลายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเช่น ปีนี้อินเดียกลับมาส่งออกข้าวหลัก ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันต่อราคาข้าว

แต่ข้าวไทยมีราคาที่สูงกว่าตลาดอยู่เล็กน้อย และอินเดียก็ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ผันผวนสูง มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงถึง 5-10% เช่น เคยอ่อนค่าถึง 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ตอนนี้แข็งค่ามาที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งล้วนแต่มีผลต่อต้นทุนการแข่งขัน เพราะผู้ส่งออกต้องซื้อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล
ธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล

ขอรัฐหนุนเป็นซอฟต์พาวเวอร์

ส่วนการส่งออกข้าวไทยช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ยังถือว่าเป็นช่วงโอกาสดีของการส่งออก และมีโอกาสเติบโตได้อยู่ เพราะเชื่อว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยเป็นที่ยอมรับของโลก หากอาหารไทยส่งออกไม่ได้ สินค้าอื่นก็คงลำบากแล้ว ดังนั้นผู้ส่งออกไทยต้องรักษาจุดแข็ง โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพ มาตรฐานสินค้า เพื่อรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งเอาไว้ให้ได้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ควรเข้ามาช่วยสนับสนุนส่งเสริม ช่วยประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ทำให้ผู้บริโภคต่างชาติรู้จัก และเข้าถึงคุณภาพข้าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสความนิยมทานอาหารเริ่มเปลี่ยน ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก

หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจากทานข้าวนอกบ้าน มาเป็นการทำอาหารกินเองในบ้าน อยากให้รัฐบาลไทยทำประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ต่างชาติบริโภคข้าวไทย มีการหุงข้าวกิน เหมือนทำสปาเกตตี ทำแซนด์วิชกินที่บ้าน

“แม้ข้าวไทยจะราคาสูงขึ้นเพราะมีภาษีเพิ่ม แต่ไม่อยากให้มองว่า ราคาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคำนวณต่อปริมาณการบริโภคต่อครั้ง จะมีราคาเพิ่มขึ้นนิดเดียว ถ้าหากเราแข่งขันด้วยคุณภาพ มาตรฐานสินค้าดี เชื่อว่าผู้ซื้อก็ต้องยอมซื้อ และเรื่องอาหารเป็นสิ่งจำเป็น ยิ่งเป็นของอร่อย กินแล้วมีความสุข คนซื้อก็ยอมซื้ออยู่แล้ว”

ดังนั้น เป้าหมายการผลักดันให้ไทยเป็น “ครัวโลก” ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะข้าวไทยเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ซื้อ ผู้นำเข้าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องเร่งส่งเสริมเพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น ก็คือการทำให้ผู้บริโภครู้จัก และยอมรับในจุดเด่นและความอร่อยของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่เป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงระดับโลก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ของไทย รัฐบาลต้องสร้างการรับรู้ให้ลงลึกถึงผู้บริโภค สื่อสารไปให้ถึงทุกกลุ่ม

“ไทยต้องทำเหมือนฮอลลีวูด ไม่ใช่แค่การจัดกิจกรรมส่งเสริมแค่วันเดียวแล้วจบไป แต่ต้องทำให้คนจำนวนมากได้รับรู้และเข้าถึง และต้องทำอย่างต่อเนื่อง หากต้องการให้ไทยเป็นครัวของโลก ก็ต้องสร้างการรับรู้ให้คนทั่วโลกได้เห็น ใช้งบประมาณสร้างความยั่งยืนให้กับสินค้าไทยในตลาดโลก”