
“โชติมา” กางแผนเจรจา FTA ช่วงครึ่งปีหลัง 68 ตั้งเป้าเจรจากรอบไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ไทย-เกาหลีใต้ ให้จบภายในปีนี้ อาเซียน-แคนาดา ต้องคืบหน้ามากที่สุดและจบปีหน้า รับภาษีทรัมป์ พร้อมช่วยเร่งสปีดการเจรจา FTA เต็มที่
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงแผนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ว่า กรมจะเร่งเดินหน้าเจรจากับประเทศคู่เจรจาเพื่อสรุปผลการเจรจา FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้สรุปผลให้ได้โดยเร็ว โดยมีเป้าหมายเจรจาให้จบภายในปีนี้หรือมีความคืบหน้ามากที่สุด 3 กรอบความตกลง คือ ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ไทย-เกาหลีใต้ และอาเซียน-แคนาดา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ที่ให้เร่งการเจรจา FTA เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ให้กับไทย
“ที่ผ่านมา รัฐบาลได้สั่งการให้เร่งเจรจา FTA กับคู่ค้าต่าง ๆ ให้สำเร็จโดยเร็ว ซึ่งกรมได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ จะพยายามเร่งให้จบตามเป้าที่วางไว้ แต่พอมีเรื่องภาษีทรัมป์เข้ามา ทุกคนก็ยิ่งเร่ง ไม่ใช่แค่ไทย ที่มองว่า FTA เป็นทางออกในการเปิดตลาดใหม่ ๆ แม้แต่คู่เจรจาเอง ก็มองเช่นเดียวกัน การเจรจาตอนนี้คงไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน อะไรที่ยอมได้ ถอยได้ ก็คงต้องถอยคนละก้าว เพื่อให้การเจรจาสำเร็จ”
สำหรับความคืบหน้า FTA ไทย-อียู ขณะนี้มีการเจรจากันไปแล้ว 5 รอบ และรอบที่ 6 จะเจรจากันปลายเดือน มิ.ย. 2568 มีกรอบเจรจาทั้งหมด 20 บท เจรจาสำเร็จแล้ว 4 บท และกำลังจะเริ่มเจรจาเรื่องเปิดตลาดสินค้า ตามด้วยบริการ ลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ซึ่งต้องยอมรับว่า FTA กรอบนี้ มีมาตรฐานสูง อาจสูงกว่า FTA ฉบับอื่น ๆ ที่เคยเจรจามา แต่ยืนยันว่า จะรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย และนำข้อกังวลของทุกฝ่ายมาพิจารณา เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด
ส่วน FTA ไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งเป็น FTA ที่ไทยหันมาทำกับเกาหลีใต้เป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากกรอบอาเซียน-เกาหลีใต้ มีความคืบหน้ามาก ทั้ง 2 ฝ่ายตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในปีนี้ FTA อาเซียน-แคนาดา ที่เป็นอีกหนึ่ง FTA ที่มีมาตรฐานสูง มีความท้าทายในการเจรจาเช่นเดียวกัน จะผลักดันให้การเจรจามีความคืบหน้าให้ได้มากที่สุด แต่อาจจะไม่จบปีนี้ น่าจะเป็นปี 2569 และหากทำสำเร็จ จะช่วยเปิดประตูสู่ตลาดอเมริกาเหนือได้ ส่วนไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สถานะยังอยู่จุดเดิม จะหาทางพูดคุย เพื่อหาข้อสรุปกันต่อไป
นอกจากนี้ ยังมี FTA ที่ต้องอัพเกรดความตกลงเดิม โดยอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ เจรจาสำเร็จแล้ว อยู่ระหว่างการให้สัตยาบัน คาดบังคับใช้ ต.ค. 2568 อาเซียน-จีน อัพเกรดเสร็จแล้ว น่าจะลงนามได้ช่วงประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน ก.ย. 2568 กรอบของอาเซียนเอง ที่ได้อัพเกรดเรื่องการค้าสินค้า เจรจาเสร็จแล้ว ตั้งเป้าลงนามในปีนี้ อาเซียน-อินเดีย กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา และกำลังเริ่มคุยยกระดับกรอบอาเซียน-เกาหลีใต้
ส่วนไทย-เปรู จะเจรจาการค้าสินค้าในส่วนที่เหลือ 30% และการเปิดเสรีภาคบริการ ตั้งเป้าสรุปผล ส.ค. 2568 และการเจรจาความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ตั้งเป้าสรุปผลในปี 2568 ซึ่งจะเป็นความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก ครอบคลุมประเด็นด้านดิจิทัล และความท้าทายใหม่ ทั้งปัญหาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีการเงิน ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์
น.ส.โชติมากล่าวอีกว่า กรมยังมีแผนจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระดับรัฐมนตรีกับคู่ค้า อาทิ สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และสหราชอาณาจักร เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ 2 ฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และจะเดินหน้าส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก FTA ผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs มีโอกาสในการส่งออก โดยใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะติดตามเรื่องการจัดตั้งกองทุน FTA ที่จะนำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ที่กระทรวงการคลังที่กำลังพิจารณาเรื่องเงินทุน
นอกจากนี้ สำหรับการเจรจากับสหรัฐก็ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งอยู่ในขบวนการขั้นตอนอยู่ ซึ่งก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด เนื่องจากว่ากรมเป็นฝ่ายเลขาฯก็ได้เร่งหารือกับทุกฝ่าย มั่นใจว่าทำงานอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน โดยก็ประสานการทำงานติดตามการเจรจาทุกวิถีทาง ทุกรูปแบบ ก็จะพยายามเต็มที่
สำหรับในปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค. 2567) การค้าของไทยกับ 18 ประเทศคู่ค้า FTA มีมูลค่า 360.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 59.3 ของการค้ารวมของไทย โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 154.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 172.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ของปี 2568 การค้าของไทยกับประเทศคู่ค้า FTA มีมูลค่าการค้ารวม 96,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 60 ของการค้าของไทยทั้งหมด การส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA รวม 45,144 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 55 ของการส่งออกทั้งหมด การนำเข้าจากประเทศคู่ค้า FTA รวม 51,761 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 64 ของการนำเข้าทั้งหมด
สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มปัจจัยการผลิตที่ไทยสามารถนำมาในการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และสินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์