
ตำแหน่ง “ผู้แทนการค้าไทย” หรือ Thailand Trade Representative (TTR) เป็นผู้แทนพิเศษขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ในการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ กับผู้แทนจากต่างประเทศหรือผู้ประกอบการธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายยุทธศาสตร์ ท่าทีของรัฐบาล และคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ตามประเด็นที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
และยังรวมถึงแสวงหาช่องทางและตลาดใหม่ ๆ เสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนกับประเทศต่าง ๆ
“วีระพงษ์ ประภา” ผู้แทนการค้าไทย หนึ่งในทีม TTR ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แต่งตั้งเมื่อ 5 พ.ย. 2567 ปัจจุบันทำหน้าที่เจรจาเพื่อเปิด “ตลาดสหภาพยุโรป” (ตลาด EU) ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดตลาดหนึ่งของโลก
จากสถิติกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สหภาพยุโรป (EU) เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น
ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและอียู อยู่ที่ 43,532.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.26 จากปี 2566
ไทยส่งออกไปยังอียู มูลค่า 24,205.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.23
ปัจจุบันไทยกับอียูอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)โดยการเจรจาดำเนินมาแล้ว 5 รอบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม-4 เมษายน 2568 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
รัฐบาลไทยคาดหวังว่า FTA ฉบับนี้จะช่วยเปิดประตูโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ได้อย่างมหาศาลท่ามกลางความผันผวนของการค้าโลกที่เป็นอยู่
งานนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายสำหรับ “วีระพงษ์” ซึ่งรับผิดชอบในส่วนของอียู
Q : “ผู้แทนการค้าไทย” ทำหน้าที่อะไร
มี 2 ส่วน คือ 1.เข้ามาช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการค้า ช่วยวิเคราะห์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการค้า
2.เป็นผู้สื่อสารอธิบายให้คนรับรู้ เรื่องการค้าการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ให้เข้าใจเรื่องสงครามการค้า หรือ FTA ทำหน้าที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายกับสังคม
Q : ที่ผ่านมาเจรจาอะไรบ้างกับอียู
คุยกับกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อมเรื่อง “ดีจีคลีม่า” (DG Clima) เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) ไปเล่าให้เขาฟังว่าประเทศไทยมีกฎหมายลดโลกร้อนกำลังเป็นร่าง พ.ร.บ.อยู่ รอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเพื่อจะเข้าสภาปีหน้า (2569)
เรื่องคาร์บอนอิมิสชั่น (Carbon Emission-การปล่อยก๊าซเรือนกระจก) เรื่องตลาดคาร์บอน (Carbon Market) อียูเขาสนใจมาก คุยเรื่องซีแบม (CBAM-Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน เป็นมาตรการของอียูที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้าอียู คุยกับดิจิทัลเทรด (Digital Trade) การซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์
ที่น่าสนใจอย่างมากเป็นเรื่องเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) เชื้อเพลิงทางเลือกที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ไม่ใช่ปิโตรเลียม ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่งทางอากาศ บริษัทแอร์บัสสนใจเรื่องนี้มาก คุยกันมา 2-3 รอบแล้ว ตอนนี้เครื่องบินใช้เชื้อเพลิงแบบยั่งยืนน้อยกว่า 1% บริษัทแอร์บัสอยากจะเพิ่มให้มากขึ้นภายในปี 2030 เป็น 10%
อียูไม่มีกำลังผลิตเพราะไม่มีวัตถุดิบ แต่ประเทศไทยมีเต็มไปหมด ปกติเราก็เผาทิ้งกลายเป็นพีเอ็ม 2.5 มีข้อศึกษาว่าถ้าประเทศไทยตั้งโรงงานผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงยั่งยืน จะผลิตได้ประมาณ 5,000,000 ตันลิตรต่อปี แล้วประเทศไทยใช้ประมาณ 500,000 ตันลิตรต่อปี ที่เหลือขายส่งออกได้
บริษัทแอร์บัสสนใจมาลงทุน รัฐบาลต้องช่วยเป็นเจ้าภาพในการผลักดันเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่มาแล้ว เขาต้องติดต่อถึง 20 หน่วยงาน แบบนี้เขาก็บ๊ายบาย นี่เป็นจุดที่ประเทศไทยต้องแก้ไข ผมว่าถ้าได้สามส่วนมาประกอบกันคือภาคเอกชนพร้อมลงทุน ประเทศไทยแก้กฎกติกา มีเงินอียูเข้ามาสนับสนุน แล้วฝ่ายการเมืองเคาะเอาด้วย คาดว่าอันนี้จะเป็นรูปธรรมที่สุด ถ้าเราทำได้ โอกาสทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทยจะได้รับการแก้ไขไปด้วย
Q : ความคืบหน้าข้อตกลงเขตการค้าเสรี
ตอนนี้การเจรจามีทั้งหมด 20 บท เราเจรจาไปได้ 4 บท ประมาณ 20% ฝ่ายอียูเขาอยากไปให้เร็วกว่านี้ ครั้งหน้าถ้าประชุมสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ถ้าได้สักประมาณ 9-10 บท ก็สวย แล้วสิ้นปีนี้ (2568) จะต้องจบทั้ง 20 บท ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างสูง นายกรัฐมนตรีเองก็อยากให้จบภายในสิ้นปีนี้ ยิ่งนายกฯมีข่าวว่าจะไปเยือนอียูเดือนกรกฎาคมนี้ รายละเอียดต้องรอให้ทำเนียบรัฐบาลแถลง ก็จะทำให้เกิดแรงผลักดันทั้งฝ่ายอียูและฝ่ายไทย ความเห็นส่วนตัวคิดว่าสัก 80% ต้องจบ
Q : เจรจา FTA ที่่จบแล้วมีอะไรบ้าง
จบไปแล้ว 4 เรื่อง เช่น กฎหมายความโปร่งใส เรื่องคอร์รัปชั่น เรื่องที่เพิ่งจบไปคือเรื่องระบบอาหารที่ยั่งยืน และ Trade Facilitation-การอำนวยความสะดวกทางการค้า การลดอุปสรรคและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสินค้าปศุสัตว์ของยุโรปเข้ามาในไทย เรื่องที่ติดอยู่ตอนนี้ก็มีเรื่องดิจิทัลเทรด การเก็บภาษีศุลกากรดิจิทัล แทบจะเกี่ยวข้องเกือบจะทุกกระทรวง
แต่เรื่องสินค้าเกษตร อียูมี EUDR (EU Deforestation Regulation) ต้องเป็นสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่าถึงเข้าไปในอียูได้ เช่น ไม้ ยางพารา น้ำมันปาล์ม โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง และวัว รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสินค้าเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในบทของการเจรจา แต่เป็นกฎใน “ยูโรเปี้ยนกรีนดีล” (EU Green Deal) หมายถึงการที่กิจกรรมการค้าต่าง ๆ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในระยะยาว คือทำตามข้อตกลงที่เราได้ประกาศไว้ในปี 2050-2060
Q : สถานการณ์การค้าระหว่างไทย-อียู
ตอนนี้เขามองเราเป็นพันธมิตร เพราะเกมพลิกไปหมด ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์พลิกหมด ฉะนั้นอียูเองก็ต้องกระจายความเสี่ยง จะไปพึ่งอเมริกามากไม่ได้ แล้วจะไปพึ่งจีนมากก็ไม่ได้ เขาบอกเองว่ายังมีอีก 86% ในตลาดโลกที่เขายังไม่ได้ไปเจรจาจริงจัง เพราะฉะนั้น เลยมุ่งเน้นความสัมพันธ์โดยเฉพาะกับอาเซียน ประเทศที่เขามองว่าเป็นหลัก เช่น ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวลานี้เวียดนามกับสิงคโปร์เขาเจรจา FTA จบไปแล้ว ที่กำลังเจรจาอยู่มี 4 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียก็น่าจะจบภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน
สำหรับประเทศไทย เขามองว่ามีโอกาสด้านตลาด โดยเฉพาะเรื่องของพลังงานสะอาด การติดต่อเชื่อมโยง และเรื่องดิจิทัลเทรด อียูเป็นตลาดคุณภาพ มีผู้บริโภคประมาณ 400 กว่าล้านคน และเป็นผู้บริโภคที่มีรายได้สูง จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ไทยจะต้องเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ ที่ผ่านมา 20 ปี ความสัมพันธ์ไทย-อียู ค่อนข้างผิวเผินแค่ระหว่างสถานทูต แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการเมือง แล้วการจะเข้าไปขายของในอียูไม่ใช่ง่าย เพราะอียูเป็นเจ้าแห่งกฎ ผู้บริโภคมีมาตรฐานสูง และมีกฎกติกายุบยับไปหมด
Q : ประเด็นที่ทำให้การเจรจาช้าและยาก
มีหลายประเด็น เรื่องสุขอนามัยพืชและสัตว์ที่จะต้องตรวจสอบโรคระบาด ฯลฯ เราจะตรวจเขาและเขาก็จะตรวจเรา ต่างฝ่ายต่างกลัวโรคของกันและกัน เพราะถ้าโรคเข้าไปในประเทศจะทำให้ระบบเกษตรทั้งของเราและทางเขาเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งกรมปศุสัตว์ของเราก็มีกฎกติกา เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและสินค้าเกษตรของไทย แต่เราอยากจะให้เห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้เปิดตลาดให้เกษตรกรไทยด้วย การค้าขายตอนนี้เราซื้อของอียูยังไม่มาก เขาเองอยากเอาสัตว์ของเขามาขายให้ทางเรามากขึ้น เช่น เนื้อหมูจากสเปน เนื้อโคจากเยอรมันและยุโรป ซึ่งตอนนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ FTA สามารถเปิดตลาดให้บริษัทยุโรปเข้ามาแข่งขันในเรื่องประกวดราคาการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐกับบริษัทไทยได้ และบริษัทไทยก็สามารถไปประกวดราคางานในอียูได้ ถือเป็นประโยชน์ทั้งสองฝั่ง แต่แน่นอนว่าระยะสั้นต้องมีผลกระทบ บริษัทอียูมีมาตรฐานสูงกว่าไทย ความโปร่งใสก็มากกว่า เขาเองอยากมาแข่งขันในเรื่องนี้ ความเห็นส่วนตัวผมมองว่าจะทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของไทยก็จะมีความโปร่งใสจะได้จัดการปัญหาคอร์รัปชั่นเรื่องการฮั้ว
โดยรวมแล้ว FTA ไม่ใช่แค่การเจรจาการค้า แต่เหมือนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่แค่การเปิดตลาด แต่เป็นการปรับวัฒนธรรมการทำธุรกิจ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ยกระดับมาตรฐานของธุรกิจไทย บวกไปกับการที่ไทยกำลังจะเข้าโออีซีดี (OECD-Organization for Economic Cooperation and Development) ซึ่งเป็นเหมือนคลับคนรวย มีสมาชิก 38 ประเทศ เมื่อก่อนจะมีแต่พวกยุโรปตะวันตก ตอนนี้เริ่มเปิดแล้ว เขาอยากให้ประเทศในเอเชีย ซึ่งเวลานี้มีแค่ 2 ประเทศ คือเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเข้าร่วม
ส่วนไทยกับอินโดนีเซียจะเป็นสองประเทศแรกในอาเซียนที่เพิ่งเข้าไปในขบวนการ ประเทศไทยตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) เราอยากจะเข้าเป็นสมาชิกโออีซีดีเต็มรูปแบบ
Q : ประเด็นเรื่องแรงงานข้ามชาติ
ตอนนี้เขามองเราดีขึ้นมาก เขามองว่ารัฐบาลไทยทำเยอะ อันนี้ต้องให้เครดิตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อียูตอนนั้นเขาไม่คุยเรื่อง FTA กับรัฐบาลทหาร แต่เรื่องแรงงานเขาคุยกับรัฐบาลทหารโดยตรง ส่วนเรื่องของสิ่งแวดล้อม เราต้องเป็นภาคีกัน เพราะประเทศไทยมีร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ซึ่งในนั้นมี 14 หมวดหลักแทบจะก๊อบปี้มาจากอียู เขาแฮปปี้มากเรื่องอียูดีอาร์ หมายความว่าสินค้าที่ส่งออกจากไทยที่เกี่ยวข้องกับยางพารา กาแฟ หรือสัตว์ ป่าไม้ จะถูกตรวจสอบน้อยกว่าประเทศคู่แข่ง
ต่อไปจะถอดบทเรียนยางพารามาใช้กับเรื่องส่งออกไม้และกาแฟเพื่อเปิดตลาดมากขึ้น เวลานี้เราส่งออกยางพาราอยู่ประมาณ 7,000 กว่าล้านเหรียญยูเอส ถ้าทำให้กาแฟไทยได้ตลาดกว้างมากขึ้นอีก ทั้งมีสตอรี่ของสินค้าว่าปลูกในป่า หรือในพื้นที่ที่ไม่ได้มาจากการบุกรุกป่า ก็จะได้ราคาพรีเมี่ยม
เรื่องของเอสเอ็มอีก็เป็นโอกาส ตอนนี้พยายามปลดล็อกกฎต่าง ๆ เพราะสินค้าบางอย่างเราเป็นต้นน้ำหรือกลางน้ำให้เขาได้ อียูไปต่อยอดปลายน้ำ เอสเอ็มอีเป็นบทหนึ่งใน FTA ที่เราให้ความสำคัญมาก อียูจะมองหาเอสเอ็มอีที่เขาต้องการ คือกรอบแบบไหน มาตรฐานแบบไหนที่เอสเอ็มอีไทยต้องทำ เป็นอีกบทที่อยากจะจบให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งจบเร็วเท่าไหร่ การบริหารจัดการภายในของเราก็เร็วเท่านั้น ให้เอสเอ็มอีไทยเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงทุน และช่วยซัพพอร์ตศักยภาพให้เอสเอ็มอีไทยไปต่อได้และอย่างยั่งยืน
Q : ภารกิจที่จะต้องทำให้จบในปีนี้
1.จะพยายามเร่งการเจรจาทั้งหมดให้จบภายในสิ้นปีนี้ให้ได้ เพื่อให้ไทยมีศักยภาพในการเข้าไปแข่งขันในตลาดอียู และเป็นการยกระดับโครงสร้างหรือปฏิรูประบบเศรษฐกิจไทย
2.จะผลักดันเรื่องของบทต่าง ๆ ที่เป็นบทใหม่ท้าทายกับประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้เราต้องพูดคุยกันภายในให้ดี ให้มีเอกภาพ เช่น เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา การนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ สินค้าเกษตร การตรวจสอบดิจิทัลเทรด หรือการซื้อขายออนไลน์ต่าง ๆ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของการเปิดตลาดด้วย ทำยังไงจะให้เกิดความสมดุลที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในไทยสามารถที่จะเข้าใจถึงโอกาสและความท้าทายและต้นทุนที่จะเกิดขึ้น ต้องคุยกันเป็นบทสนทนาของประเทศเลยว่าอีก 5 ปี ประเทศไทยจะไปอยู่ตรงจุดไหนในระบบเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ ประเด็นใหญ่คือจะทำอย่างไรให้กฎเรื่องความยั่งยืนของอียู สร้างโอกาสให้กับธุรกิจไทย แทนที่จะสร้างเป็นกำแพงกฎกติกาต่าง ๆ เป็นโจทย์ใหญ่ว่าเราทำให้ “กำแพง” เหล่านี้เป็น “สะพาน” ได้มากแค่ไหน
3.การเปิดตลาดใหม่ ๆ กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่ตอนนี้ไทยเราต้องเร่งแล้วเหมือนกัน คือ เรื่องพลังงานหมุนเวียน เรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ เราจะเข้ากับอียูยังไงในเรื่องเทคโนโลยี
ที่สำคัญ อยากให้อียูมองว่าเราเป็น “เวรี่สตรองพาร์ตเนอร์” ในภูมิภาคที่เข้มแข็ง และพร้อมจะทำงานร่วมกับอียู