
เมืองการบินอู่ตะเภาเจอโรคเลื่อน เหตุคลังไม่โอเคสิทธิประโยชน์ที่ขอมา อีอีซีเผยเลื่อนเซ็นสัญญากับ UTA รอบแรกเป็น 30 มิ.ย. ซ้ำด้วยการเมืองวุ่น ส่อแววเลื่อนยาว เลขาฯ อีอีซียันกรอบเวลาเดิมเปิดปี’72 ขณะที่ศูนย์ซ่อมอากาศยานยกเลิก PPP เปิดให้เสนอตัวเช่าพื้นที่ 50 ปีแทน ด้านบินไทยผนึกบางกอกแอร์เวย์ส ในรูปแบบกิจการร่วมค้า ตุนหมื่นล้านลุยแน่
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ EEC) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเซ็นสัญญาระหว่าง บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) และสำนักงาน EEC เพื่อเดินหน้าพัฒนาโครงการเมืองการบินและอาคารผู้โดยสาร จากเดิมที่กำหนดในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา จำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากการเจรจาสิทธิประโยชน์ที่ทางเอกชนขอมายังไม่จบ ซึ่งมีบางส่วนที่ทางกระทรวงการคลังยังไม่พิจารณาให้
ดังนั้น จึงต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อรอให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ. หรือบอร์ด EEC) พิจารณาก่อน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ที่เกิดความไม่แน่นอนขึ้น อาจมีผลต่อการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากจำเป็นต้องเลื่อนการเซ็นสัญญาออกไปอีกก็จำเป็นต้องทำ แต่เป้าหมายของโครงการเมืองการบินภาคตะวันออกจะคงเดิม คือคาดหมายเปิดดำเนินการในปี 2572
“ถ้าประธานในที่ประชุมยังไม่สามารถเคาะเรื่องสิทธิประโยชน์ได้ก็ต้องเลื่อน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่พร้อมก็จะขอขยายเวลาออกไปอีก แต่ก็ต้องตามไทม์ไลน์เดิม เมืองการบินสามารถทำได้อยู่แล้ว ไม่ได้สะดุดอะไร ถ้ายังมีรัฐบาลก็ยังเดินได้ต่อ และหากมีการเซ็นสัญญาเมืองการบินและอาคารผู้โดยสารสำเร็จแล้ว EEC จะสามารถออกหนังสือเริ่มงาน (NTP) ได้เลยทันที โดยไม่ต้องรอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน”
สำหรับสิทธิประโยชน์ของโครงการเมืองการบินภาคตะวันออกของ UTA ประกอบไปด้วย 1) สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ที่ EEC สามารถให้ได้ อาทิ การ “ยกเว้น” ภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี การ “ลดหย่อน” ภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกิน 50% ของอัตราปกติสูงสุด 10 ปี 2) สิทธิในการ “ยกเว้น” หรือ “ลดหย่อน” ว่าด้วยข้อปฏิบัติในส่วนของศุลกากร
3) ใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญ-การได้รับ Work Permit 4) เขตปลอดอากร 5) การ “ยกเว้น” ภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าบางประเภท อาทิ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เปิดให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) จัดตั้งขึ้นภายใต้กิจการร่วมค้า ประกอบด้วย 3 กลุ่มบริษัทคือ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบางกอกแอร์เวย์ส ถือหุ้น 45%, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ถือหุ้น 35%, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือซิโน-ไทย ถือหุ้น 20% มีภารกิจสำคัญในการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใน EEC เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศที่สำคัญของโลก
ศูนย์ซ่อมปรับเป็นให้เช่าที่ 50 ปี
ส่วนโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) หลังจากที่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หลุดออกจากการเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจแล้ว ก็ถือว่าการบินไทยเป็นบริษัทเอกชน ดังนั้น รูปแบบการลงทุนของ MRO จะไม่ใช่การลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) แต่จะเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้ามายื่นข้อเสนอของโครงการ เจรจาสิทธิประโยชน์ให้เป็นรูปแบบของการเช่าพื้นที่สัมปทานระยะเวลา 50 ปี ขนาดพื้นที่ 210 ไร่
“เราไม่ต้องเปิดประมูลใหม่และไม่ต้องแก้สัญญาอะไร เพราะโครงการ MRO ยังไม่เคยมีร่างสัญญาอะไรขึ้นมา เราจะเริ่มเชิญชวนให้เอกชนที่มีความสนใจอยู่แล้ว คือ 2 รายที่เคยสนใจ คือบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เข้ามาเสนอโครงการลงทุนในรูปแบบของการเช่าพื้นที่ 50 ปี ส่วนจะเป็นรูปแบบร่วมกันลงทุน หรือแยกกันคนละโครงการ หรือเสนอลงทุนกับกลุ่มบริษัทอื่นเพิ่มเติมก็ได้ จากนั้นก็ทำสัญญาจะเช่าพื้นที่ปกติ โดยสามารถยื่นขอสิทธิประโยชน์จาก EEC และสามารถเจรจาหารือกันในรายละเอียด
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการพัฒนาสนามบินภายในพื้นที่กว่า 6,500 ไร่ มูลค่า 290,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการดังกล่าวจะประกอบไปด้วย อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3, ศูนย์ธุรกิจการค้าและการขนส่งภาคพื้นดิน, ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน, เขตประกอบการค้าเสรีและเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่อง, ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์, ศูนย์ฝึกอบรมการบิน
“การบินไทย” พร้อมลงทุน
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยมีความพร้อมในการลงทุนศูนย์ซ่อม (Maintenance, Repair and Operating : MRO) อย่างมาก และเป็นแผนที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทยที่มีการเพิ่มทุนด้วย เบื้องต้นมีแผนใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยร่วมกับบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ซึ่งการบินไทยมีการศึกษาเดิมอยู่บางส่วนแล้ว และได้เจรจาในเรื่องโครงสร้างการร่วมทุน
ซึ่งจะดำเนินการในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture : JV) โดยการบินไทยจะเป็นฝ่ายถือหุ้นใหญ่ ส่วนสัดส่วนที่เหมาะสมจะเป็นเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ซึ่งการบินไทยได้ทำบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU กับบางกอกแอร์เวย์ส เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
“วันนี้เรามีความพร้อมสำหรับการลงทุน แต่ด้วยโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่เราจึงต้องหาพันธมิตร ซึ่งเหตุผลที่เลือกร่วมทุนกับบางกอกแอร์เวย์ส เพราะถือว่าเป็นผู้ประกอบการไทยด้วยกัน ที่สำคัญเรามีฝูงบินจำนวนมาก เฉพาะของการบินไทยคาดว่าปี 2576 เราจะมีฝูงบิน 150 ลำ หากรวมกับบางกอกแอร์เวย์ส จะมีเกือบ 200 ลำ ที่เป็นลูกค้าในช่วงเริ่มต้น ส่วนพันธมิตรอื่น ๆ รวมถึงจากต่างประเทศยังอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติม เพราะโครงการนี้มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ต้องทำงานร่วมกันอีกจำนวนมาก” นายชายกล่าว