
สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จี้รัฐบาล ชาวสวนยางหวานอมขมกลืนมานาน เร่งสร้างความชัดเจน การเลือกตั้งใหม่จะเป็นทางออกไหม พร้อมส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ขอให้เร่งดำเนินการรักษาระดับราคายางพาราให้มีเสถียรภาพ
ดร.อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ซึ่งมีผลต่อนโยบายด้านการเกษตรของประเทศ จึงต้องการให้รัฐบาลเร่งสร้างความชัดเจน เพราะต้องยอมรับว่าเกษตรกรส่วนใหญ่นั้น มีชีวิตอยู่อย่างหวานอมขมกลืน โดยเฉพาะเรื่องของการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในปัจุบัน ซึ่งเกษตรกรรายย่อยแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ขณะที่เศรษฐกิจเองก็ตกต่ำมาก GDP ไทยต่ำสุดในอาเซียน อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ดังนั้น การสร้างความชัดเจนของรัฐบาลและนโยบายเป็นสิ่งที่ต้องเร่งเดินหน้า การสื่อสารต่อเกษตรกรจึงเป็นเรื่องสำคัญ การยุบสภาอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ ควรเป็นการล้างไพ่ให้หรือไม่
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ทำหนังสือเปิดผนึกถึง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้เร่งดำเนินการรักษาระดับราคายางพาราให้มีเสถียรภาพ
ด้วยปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรโดยรวมมีราคาตกต่ำ จึงสวนทางกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางประสบปัญหาด้านความเป็นอยู่จากความไม่สมดุลดังกล่าว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคายางพาราตกต่ำอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่
- ปริมาณผลผลิตยางพาราในตลาดโลกและในประเทศที่มีมากเกินความต้องการใช้ (Over Supply) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขยายพื้นที่ปลูกในหลายประเทศ
- การนำเข้าน้ำยางข้นจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าอย่างมาก
- การแข่งขันจากยางสังเคราะห์ที่มีราคาถูกกว่าและมีคุณสมบัติที่สามารถทดแทนยางธรรมชาติได้ในบางอุตสาหกรรม
- ค่าเงินบาทที่แข็งตัว ทำให้ราคายางพาราเมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้วลดต่ำลง และส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรโดยตรง
- ความต้องการใช้ยางพาราของภาคอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศที่ลดลง หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิต และ
- ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการผลิตสินค้าที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ
สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยได้เคยทำหนังสือเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางพาราต่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หลายฉบับ ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย (พ.ร.บ.กยท.) พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ซึ่งท่านเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ แต่จนถึงปัจจุบัน สมาคมยังไม่ได้รับคำตอบหรือการดำเนินการใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม
สมาคมได้ติดตามสถานการณ์ราคายางอย่างใกล้ชิด และพบว่าราคายางยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องแทบทุกวัน โดยภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ราคาลดลงถึง 10 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้งผู้ประกอบการยังชะลอการรับซื้อยางจากเกษตรกร ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้ของเกษตรกร ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย มาตรา 8 (4) ได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ไว้ประการหนึ่งคือ “ดำเนินการให้ระดับราคายางมีเสถียรภาพ” สมาคมจึงขอเรียนว่า หากหน่วยงานและผู้รับผิดชอบได้เร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ราคายางพาราก็จะกลับมามีเสถียรภาพและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่เกษตรกรได้
ด้วยเหตุนี้ สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยจึงขอทำหนังสือเปิดผนึกฉบับนี้ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงสถานการณ์และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอีกครั้ง โดยขอทบทวนแนวทางการแก้ไขปัญหา 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 1 ข้อกังวลเร่งด่วนกับการนำเข้าน้ำยางข้นสดเฉพาะจากประเทศเวียดนาม
สมาคมขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาสั่งระงับการนำเข้าน้ำยางข้นโดยเด็ดขาด มิใช่เพียงแค่ขอความร่วมมือผู้ประกอบการชะลอการนำเข้า ตามหนังสือของกรมวิชาการเกษตร ที่ กษ.0930/ว 1193 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เนื่องจากน้ำยางข้นจากประเทศเวียดนามมีราคาต่ำกว่าในประเทศไทยถึง 5-7 บาทต่อกิโลกรัม การนำเข้าในปริมาณมากจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคายางพาราในประเทศลดต่ำลง
ระดับ 2 เรื่องการแก้ไขปัญหาราคายางพารา คือ 2.1 การปรับชั้นพันธุ์ยาง RRIM 600 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 5 สมาคมขอให้พิจารณาปรับชั้นพันธุ์ยาง RRIM 600 ลง เนื่องจากให้ผลผลิตเพียง 220 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี และส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนมาใช้พันธุ์ยาง RRIT 3904 ซึ่งให้น้ำยาง 400 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี หากคิดจากราคาน้ำยางสดปัจจุบัน 56 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางได้ทันที
2.2 การสนับสนุนให้ใช้อีทีฟอน พลัส 5% (Ethephon Plus 5%) สำหรับพันธุ์ยาง RRIM 600 เนื่องจากประเทศมาเลเซียได้สั่งห้ามเกษตรกรปลูกยางพันธุ์ RRIM 600 ที่ให้ผลผลิตไม่คุ้มค่า สถาบันวิจัยของมาเลเซียจึงได้ผลิต Ethephon Plus 5% เพื่อช่วยเพิ่มน้ำยางอีกหนึ่งเท่าตัว ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2545 บริษัท ไทยลาเท็กซ์ อาร์ซีพี เทคโนโลยี จำกัด เคยเป็นผู้นำเข้า แต่ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรได้สั่งระงับการนำเข้า สมาคมมีความเห็นว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาผลผลิตต่ำของยางพันธุ์ RRIM 600 ได้ ควรนำวิธีการที่มาเลเซียเคยใช้และประสบความสำเร็จมาแล้วมาปรับใช้
นอกจากนี้ เกษตรกรชาวสวนยางก็เคยใช้สารดังกล่าวมาแล้วเกือบ 20 ปี และให้ผลดีกับยางพันธุ์ RRIM 600 เป็นอย่างยิ่ง สมาคมจึงขอให้หน่วยธุรกิจ (BU) ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ดำเนินการสั่งซื้ออีทีฟอน พลัส 5% Ethephon Plus 5% เข้ามา และแจกจ่ายฟรีให้แก่เจ้าของสวนยางที่ปลูกพันธุ์ RRIM 600 เป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยให้ฟรีรายละ 15 ไร่ โดยใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย มาตรา 49 (3) จากนั้น ให้หน่วยธุรกิจ (BU) ของ กยท. ซื้อมาจำหน่ายให้แก่เจ้าของสวนอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีการโค่นยางพันธุ์ RRIM 600 และเปลี่ยนเป็นพันธุ์ยาง RRIT 3904 ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาได้
ทั้งนี้ สมาคมขอเรียนเสนอว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรับพิจารณาและนำข้อมูลข้างต้นไปวิเคราะห์ให้ชัดเจนถึงความคุ้มค่าในการลงทุน หรือหากมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าที่สมาคม เสนอก็ขอให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากราคายางที่มีเสถียรภาพ
ระดับ 3 เพื่อให้การรักษาเสถียรภาพราคายางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย สมาคมจึงขอเสนอนายกรัฐมนตรีควรเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วนต่อไป