รับมือภาษีทรัมป์ หลังวันที่ 9 ก.ค.

พิษภาษีทรัมป์
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

นับจากวันที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศที่จะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากประเทศคู่ค้าที่ “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ รวมทั้งประเทศไทย นับจากวันที่ 2 เมษายน 2568 ต่อเนื่องมาจนใกล้ครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน ในวันที่ 9 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ทุกประเทศที่มีรายชื่อจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ต่างเร่งที่จะเปิดการเจรจาการค้ากับสหรัฐ เพื่อขอลดหย่อนอัตราภาษีตอบโต้ลง อันเนื่องมาจากภาษี Reciprocal ที่ประกาศออกมานั้นมีอัตราภาษีที่สูงมาก โดยเฉพาะกับประเทศที่เกินดุลการค้ามาก ๆ หรือติดอันดับประเทศที่เกินดุลสูงสุด

โดยประเทศไทยเองก็ตกอยู่ในฐานะประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ติด 1 ใน 10 อันดับต้น ๆ จากตัวเลขการค้าปี 2567 ปรากฏ ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าสหรัฐสูงถึง 35,427.6 ล้านหรียญ และการเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าสหรัฐครั้งนี้ ไม่ได้เป็นปีแรก แต่เป็นการได้ดุลการค้าสหรัฐติดต่อต่อเนื่องกันมานานหลายปี จนกระทั่งประเทศไทยตกเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ที่สหรัฐต้องการที่จะลดตัวเลขการขาดดุลการค้าลงให้ได้

ส่งผลให้ประเทศไทยถูกสหรัฐประกาศที่จะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในอัตราร้อยละ 36 เป็นรองในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เป็นประเทศคู่แข่งขันในการส่งออกที่สำคัญ ก็เฉพาะแต่เวียดนามเท่านั้น ที่ถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงกว่าไทย ที่ร้อยละ 46 ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการส่งออกของประเทศที่ว่า หลังวันที่ 9 กรกฎาคม อัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปยังสหรัฐจะได้รับการลดหย่อนลงมาหรือไม่ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนทางการค้ามาตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมากกว่าประเทศคู่ค้าอื่น ๆ แม้รัฐบาลไทยจะออกข่าวที่ว่า มีความพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐบนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเป็นความเข้าใจแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่สหรัฐกลับเลือกที่จะเจรจากับไทยเป็นประเทศท้าย ๆ หรือเพียงสัปดาห์เดียว ก่อนที่ระยะเวลาแห่งการผ่อนผัน 90 วัน ในการเรียกเก็บภาษีตอบโต้จะสิ้นสุดลง

ทำให้ความไม่แน่นอนในสถานะของประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน ระหว่างการถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ร้อยละ 36 หรือได้รับการขยายระยะเวลาในการเจรจาออกไป หรือได้รับการลดอัตราภาษีตอบโต้ลงระดับหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจากันต่อ

ขณะที่ประเทศเวียดนามกลับสามารถบรรลุผลการเจรจากับสหรัฐได้เป็นประเทศแรก ๆ ด้วยหลักการกว้าง ๆ ที่ว่า จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ร้อยละ 20 เก็บภาษีสินค้าแอบอ้างแหล่งกำเนิดร้อยละ 40 และภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐบางกลุ่มเป็นร้อยละ 0 จนดูเหมือนว่า หลักการนี้กำลังจะกลายมาเป็นบรรทัดฐานการเจรจากับประเทศซึ่งอยู่ในกลุ่มอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงควรที่ผู้ประกอบการส่งออกจักต้องเตรียมรับมือ ไม่ว่าผลการเจรจาของคณะผู้แทนไทยจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งการเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ กับภาษีแอบอ้างถิ่นกำเนิด ไปพร้อม ๆ กัน