
พิษเศรษฐกิจซบ นักท่องเที่ยวหาย กระทบตลาด อ.ต.ก. ลูกค้าลดจากวันละ 8-9 พันคนก่อนโควิด เหลือปัจจุบัน 5-6 พันคน แถมเจอผลพวงขึ้นค่าเช่า ทำผู้ค้าหายอีกกว่า 10% ปรับแผนใหม่ ขยายบทบาทเป็นผู้ค้า-ตัวแทนขาย หวังเพิ่มรายได้อีกทาง พร้อมโหมโรดโชว์ ตปท. โปรโมตสินค้าเกษตรไทยยกระดับสู่พรีเมี่ยม
นายปณิธาน มีไชยโย ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เปิดเผยว่า จากนโยบายของนายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะประธานบอร์ดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ซึ่งมีแนวทางตามนโยบายกระทรวจเกษตรและสหกรณ์ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่ง อ.ต.ก.มีภารกิจในส่วนของตลาดนำ ที่นำผู้ซื้อ-ผู้ขายมาเจอกัน

และจากการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจ เข้าสู่ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตเพลซมากขึ้น ทำให้ อ.ต.ก.จำเป็นต้องขยายบทบาทการเป็นตลาดพรีเมี่ยม ตามการเปลี่ยนแปลง “อยากกินของดี มีความพรีเมี่ยม ต้องนึกถึง อ.ต.ก.”
ทั้งนี้ ประธานบอร์ด อ.ต.ก. ได้ย้ำนโยบายว่า เดิมรายได้หลัก อ.ต.ก.มาจากคู่ค้า โดย อ.ต.ก.เป็นเจ้าของพื้นที่ แต่อนาคตอาจจะมาเป็นคนทำธุรกิจ นำสินค้าจากเกษตรกรมาจำหน่าย เพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่ม และเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้ามาใช้บริการ ซึ่ง อ.ต.ก.ก็พร้อมรับนโยบายเพื่อดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ดี พื้นที่ อ.ต.ก.เป็นพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดย อ.ต.ก.ทำสัญญาเช่าระยะเวลา 15 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในปี 2570 นี้ ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อ.ต.ก.ได้ประสานขอเจรจาเพื่อต่อสัญญาเช่ากับ ร.ฟ.ท.มาโดยตลอด แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ พร้อมกันนี้ อ.ต.ก.ได้ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยประสานขอความร่วมมือจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีผลตอบรับที่ดี เชื่อว่าจะสามารถเจรจาหารือกันได้ต่อไป
“ที่ผ่านมา ร.ฟ.ท.มีการปรับขึ้นค่าเช่าพื้นที่ เฉลี่ย 5% ต่อปี ทำให้ปัจจุบันค่าเช่าพื้นที่อยู่ที่ 185 ล้านบาท และเพื่อให้เราจ่ายค่าเช่าให้กับ ร.ฟ.ท.ได้ เราก็จำเป็นต้องขึ้นค่าเช่ากับผู้ค้าในตลาด ผลกระทบก็เป็นลูกโซ่ เพราะมีผลให้จำนวนผู้ค้าที่เข้ามาเช่าพื้นที่ใน อ.ต.ก.ลดลงไปกว่า 10% โดยมีผู้ค้าที่อยู่ในตลาดประมาณ 800 ร้านค้า แบ่งเป็นสัญญาเช่า 2 รูปแบบ คือ ผู้ค้าเช่ารายปี กับแบบเช่าระยะเวลา 3 ปี
นอกจากนี้ ยังมีผู้ค้าที่เป็นเกษตรกรหมุนเวียนเข้ามาจำหน่ายสินค้า ซึ่ง อ.ต.ก.มอบหมายให้เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด เป็นผู้คัดเลือกสินค้าและเกษตรกร”
นอกจากนี้ หากพิจารณาจำนวนลูกค้า ผู้ซื้อสินค้าและนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการในตลาด อ.ต.ก. จะพบว่ามีจำนวนลดลงอย่างมาก จากก่อนโควิด-19 มีจำนวนผู้ใช้บริการกว่า 8,000-9,000 คนต่อวัน โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ แต่หลังโควิด-19 ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันมีปัญหา ส่งผลให้ผู้เข้าใช้บริการลดลงเหลือประมาณ 5,000-6,000 คนต่อวัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหายไปเยอะมาก ซึ่งก็มีผลต่อรายได้ของ อ.ต.ก. โดยปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้ 190,023,186 บาท ส่วนปี 2568 ก็เชื่อว่าใกล้เคียงกัน
ขณะที่ อ.ต.ก.ได้รับจัดสรรงบประมาณต่อปีเฉลี่ยกว่า 100 ล้านบาท นายปณิธานกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นการเข้ามาใช้บริการตลาด อ.ต.ก.จากคนไทย และนักท่องเที่ยว อ.ต.ก.มีแผนที่จะยกระดับการค้า ตลาดมาร์เก็ตเพลซ รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ การจัดทำโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นการซื้อและดึงดูดนักท่องเที่ยว
โดยเฉพาะแผนครึ่งปี 2568 จะมีการนำกลยุทธ์แฟลกชิปมาใช้ เพื่อเปลี่ยนรูปแบบร้านค้าปลีกแบบเดิม แนะนำเกษตรกรให้ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดพรีเมี่ยม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่เกษตรกร เนื่องจาก อ.ต.ก.เป็นตลาดที่มีสินค้ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม (นิชมาร์เก็ต) ที่มีคุณภาพสินค้าสูง ดังนั้น อ.ต.ก.จะส่งเสริมเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรพรีเมี่ยม
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา อ.ต.ก.ได้จัดกิจกรรมโรดโชว์สินค้าเกษตรในประเทศยุโรป และเตรียมที่จะไปโรดโชว์อีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง ใน 3 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย อิสราเอล และจอร์แดน แต่จากสถานการณ์สู้รบที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องปรับแผนโรดโชว์ใหม่ โดยใช้งบประมาณในการทำตลาดประมาณ 16 ล้านบาท
นอกจากนี้ อ.ต.ก.เป็นเจ้าของตลาด เปิดพื้นที่ให้ผู้ค้าเกษตรกรได้มาขายสินค้าแล้ว อ.ต.ก.จะมีการยกระดับขึ้นเป็นเทรดเดอร์ หรือเป็นผู้ค้า และเป็นตัวแทนขายสินค้าอีกด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า อ.ต.ก.จะลงมาแข่งกับผู้ค้า จะเป็นไปในลักษณะร่วมมือกับเกษตรกร นำสินค้ามาจำหน่าย ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อให้สินค้าเกษตรนั้น ๆ สามารถส่งออกได้ โดยจะเป็นการทำตลาดทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เห็นได้จากสินค้าที่นำมาจำหน่าย 1-2 ตัน สามารถขายหมดได้ภายใน 1 วัน
“อย่างไรก็ตาม อยากให้ผู้ค้าและเกษตรกรคำนึงถึงเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนและกระแสรักษ์โลก โดยเน้นที่สินค้าออร์แกนิก ผนวกกับความเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรไทยที่เป็นสินค้าคุณภาพ สามารถยกระดับให้เป็นสินค้าพรีเมี่ยม ขายได้ราคาสูง และมีความต้องการซื้อสูง ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นก็จะกลับมาที่เกษตรกร อ.ต.ก.มีความพร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริมในการยกระดับสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าพรีเมี่ยม”