สทนช.ถกบทเรียนบริหารจัดการน้ำถ้ำหลวงสู่แผนจัดการน้ำเชิงพื้นที่-ก.เกษตรฯชดเชยพื้นที่เสียหาย 1.4 ล้านบาทตามระเบียบคลัง

สทนช.หารือหน่วยเกี่ยวข้องประเมินหยุดการสูบน้ำถ้ำหลวงแล้วทุกจุด เตรียม “รื้อฝาย” 2 จุดกั้นน้ำเข้าถ้ำหลวง หลังนำอุปกรณ์ช่วยเหลือออกจากถ้ำแล้วเสร็จ ลั่นเดินหน้ารวมข้อมูลทุกหน่วยถกแผนจัดการน้ำถ้ำหลวงให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก.เกษตรฯชดเชยพื้นที่เสียหายสิ้นเชิง 1.4 ล้านบาทตามระเบียบกระทรวงการคลัง

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมซักซ้อมการปฏิบัติการตามแผนฟื้นฟูภายหลังการช่วยเหลือผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวงขุนน้ำ-นางนอนร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมอุทยานฯ และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ว่า จากการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์ถ้ำหลวงฯ หลังเสร็จสิ้นภารกิจกู้ภัยทีมหมูป่าทั้ง 13 คนออกมาจากถ้ำหลวงเป็นผลสำเร็จด้วยดีจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนนั้น ซึ่งจากการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วพบว่า ขณะนี้ในหลายจุดที่เคยเป็นจุดสูบน้ำจากถ้ำหลวงฯ เช่น บริเวณหน้าถ้ำหลวง จุดเจาะน้ำบาดาล และบริเวณถ้ำทรายทองทั้งหมดได้หยุดสูบน้ำแล้ว โดยจะปล่อยให้น้ำระบายตามธรรมชาติเพื่อฟื้นคืนระบบนิเวศ ยกเว้นฝายกั้นน้ำทั้ง 2 จุดที่ดอยผาหมี และดอยผาฮี้แล้ว ซึ่งเป็นฝายชั่วคราวที่คาดว่าหน่วยงานเกี่ยวข้องจะเริ่มดำเนินการรื้อถอนอีก 3 วัน เนื่องจากยังต้องจัดเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการกู้ภัยออกจากพื้นที่ ซึ่งเหลือเพียงประมาณ 5% ของอุปกรณ์ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม นอกจากการประชุมหารือหน่วยเกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์น้ำในบริหารจัดการน้ำระยะต่อไปแล้ว สทนช.จะใช้วิกฤติการถ้ำหลวงฯ ครั้งนี้เป็นโอกาสให้ทุกหน่วยงานด้านน้ำร่วมกันถอดบทเรียนจากข้อมูลที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมกันศึกษาวิเคราะห์แหล่งที่มาของน้ำ ตาน้ำ น้ำที่ซึมเข้าถ้ำที่ได้นำข้อมูลของประชาชนในพื้นที่ รวมกับข้อมูลในเชิงเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ นำมาสู่มาตรการการระบายน้ำถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เพื่อช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่า ซึ่งจากข้อมูลพบว่าช่วงวันที่ 20-21 มิ.ย. ก่อนที่เด็กๆ เข้าถ้ำหลวงวันที่ 23 มิ.ย.นี้มีฝนตกมากทำให้ปริมาณน้ำในถ้ำเพิ่ม ต่อมาวันที่ 25-27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก็มีฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตร ทำให้การบริหารจัดการน้ำในถ้ำเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความไม่ต่อเนื่องของแอ่งภายในถ้ำและน้ำไหลไม่สะดวก แต่จากการประเมินการทำงานร่วมกันใช้การตัดยอดน้ำออก โดยมีการสูบน้ำภายในถ้ำออกมา 2 วิธี คือ สูบออกจากปากถ้ำ แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้ต่อเนื่องทำให้ต้องมีการสูบน้ำบาดาลเพิ่ม เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าถ้ำ ประกอบพบว่ามีน้ำที่บริเวณถ้ำทรายทอง จึงต้องใช้วิธีติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่จากภาคเอกชน เข้ามาช่วยลดปริมาณน้ำในถ้ำทรายทอง รวมทั้งมีการทำฝายที่สามารถดักน้ำไม่ให้เข้าถ้ำหลวงได้ มีปริมาณ 32,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งหากรวมปริมาณน้ำที่สูบออกและผันจากทั้งสองจุดคิดเป็นปริมาณน้ำถึง 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตร

ดังนั้น สทนช.จะเร่งประชุมหารือร่วมกับหน่วยเกี่ยวข้องในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมอุทยานฯ และคณะกรรมการลุ่มน้ำ เพื่อร่วมกันวางมาตรการแผนบริหารจัดการน้ำจากแหล่งน้ำของวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ทั้งระยะกลาง และระยะยาว ทั้งในเขตและนอกเขตพื้นที่ โดยจะนำเอาน้ำซึม น้ำซับไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตร การเก็บกักน้ำจากถ้ำฯ รวมถึงแหล่งน้ำอื่นๆ ในช่วงฤดูฝนให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้งได้เต็มศักยภาพ เพื่อนำไปสู่แผนบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศโดยเร็วต่อไป

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับน้ำที่ท่วมตามพื้นที่การเกษตรรอบถ้ำหลวง พบว่า ขณะนี้ระดับน้ำเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เกษตรกรสามารถกลับมาทำการเกษตรในพื้นที่ได้แล้ว ส่วนบางพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำหากยังมีน้ำท่วมขังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้รองรับหากจังหวัดมีการร้องขอ ขณะที่เกษตรกร ใน อ.แม่สาย ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรรวม 4 ตำบล พื้นที่กว่า 1,200 ไร่ เนื่องจากการระบายน้ำจากถ้ำหลวงนั้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการขอวงเงินชดเชย 1.4 ล้านบาทไว้แล้ว และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินชดเชยได้ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกร ขณะนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรโดยสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่สำรวจพื้นที่ทางการเกษตรครอบคลุมทั้งหมดที่ได้รับความเสียหายสิ้นเชิงพบเป็นพื้นที่เสียหายสิ้นเชิง จำนวน 1,266.75 ไร่ จำนวนเกษตรกร 126 ราย เป็นวงเงินในการขอรับความช่วยเหลือ จำนวน 1,409,892.75 บาท ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สามารถอนุมัติวงเงินช่วยเหลือให้กับเกษตรกรได้ทันที ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานเกษตรอำเภอแม่สาย ได้จัดทีมลงไปสำรวจพร้อมให้การช่วยเหลือและให้ความรู้ในการฟื้นฟูและดูแลพื้นที่หลังน้ำลดทันที
สำหรับเกณฑ์ในการช่วยเหลือเกษตรกร ได้ยึดหลักปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2556 ซึ่งตามหลักเกณฑ์จะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร อัตราการช่วยเหลือตามระเบียบ โดย ข้าว อัตราไร่ละ 1,113 บาท รายละไม่เกิน 30 ไร่ และมีการตรวจสอบพื้นที่เสียหายจริงด้วยคณะกรรมการตรวจสอบระดับหมู่บ้าน ซึ่งการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ วงเงินทดรองราชการอยู่ในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่เกิน 20 ล้านบาท และเงินในการช่วยเหลือจะโอนผ่านบัญชีเกษตรกรโดยตรง