เอสซีจี เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี”61 โต 6% เทงบลงทุนครึ่งปีหลังอีก 3 หมื่นล้าน

เอสซีจี เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2561 โต 6% เทงบลงทุนครึ่งปีหลังอีก 3 หมื่นล้าน มุ่งธุรกิจหลักในอาเซียน ควบคู่ธุรกิจค้าปลีก-กระจายสินค้า หนุนเทคโนโลยีดิจิทัล-นวัตกรรม สร้างการเติบโตยั่งยืน ดันยอดทั้งปี’61โต 10%

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขาย 120,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีปริมาณขายและราคาขายเพิ่มขึ้น

โดยมีกำไรสำหรับงวด 12,402 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ และรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนในธุรกิจอื่นลดลง แต่ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เพราะแม้ว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูกาลซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง แต่ยังมีรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนในธุรกิจอื่นช่วยสนับสนุน

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 238,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 24,808 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายเงินลงทุน รวมถึงราคาวัตถุดิบปิโตรเคมีที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออกครึ่งปีแรก 64,993 ล้านบาท คิดเป็น 27% ของยอดขายรวม โดยไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน เท่ากับ 57,044 ล้านบาท คิดเป็น 24% จากยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 43,019 ล้านบาท คิดเป็น 18 % จากยอดขายรวม ส่วนสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีมูลค่า 590,719 ล้านบาท คิดเป็น25%เป็นสินทรัพย์ ในอาเซียน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกปี 2561 แยกตามรายธุรกิจ แบ่งเป็น ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 57,053 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 8,131 ล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 109,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 16,266 ล้านบาท ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 44,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากสภาพตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและเซรามิกในไทยยังคงซบเซา โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 32% จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 91,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน จากการขยายตัวของตลาดในภูมิภาค โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 21,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ แต่ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 43,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“เป้าหมายรายได้ทั้งปียังคาดว่าจะขยายตัวได้ 5-10% ซึ่งขณะนี้ครึ่งปีแรกทำได้ 6% ครึ่งปรหลังน่าจะมีทิศทางดีขึ้น เพราะมีการขยายธุรกิจออกไปยังเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และขยายธุรกิจเชิงกว้างมากขึ้น และมีปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบางโครงการจะเริ่มในปีนี้ ทำให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 3% จากปีก่อนที่ใช้อยู่ 37 ล้านตัน”

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากต้นทุนวัตถุดิบ อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งบณะนี้เริ่มออ่นค่า และปัญหาสงครามการค้าซึ่งมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อธุรกิจ หากรุนแรงจะกระทบธุรกิจได้

นายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน เอสซีจี กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจของเอสซีจีว่า ปีนี้วางงบลงทุนไว้ 40,000-50,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกใช้งบลงทุนแล้ว 18,000 ล้านบาท ยังเหลืออีก 22,00-30,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายการลงทุนหลักยังมุ่งสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม

นายรุ่งโรจน์. กล่าวเสริมว่าโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรรายแรกในเวียดนามที่คืบหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากนายกรัฐมนตรีของเวียดนามพร้อมด้วยข้าราชการระดับสูงได้ร่วมวางศิลาฤกษ์โครงการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุดเอสซีจีได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 71% เป็น100 %เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

และมีแผนจะลงนามสัญญาเงินกู้มูลค่าประมาณ 3,200 ล้านดอล์ลาร์สหรัฐกับสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเริ่มดำเนินการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้างโรงงาน (Engineering, Procurement and Construction หรือ EPC) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 เพื่อเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งโครงการนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ สนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนามต่อไป

ส่วนในไทย เอสซีจีได้ขยายกำลังการผลิตของโครงการมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) จากปัจจุบัน 1.7 ล้านตันต่อปีเป็น 2.05 ล้านตันต่อปี โดยใช้งบลงทุน 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้โครงการมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบและสร้างโอกาสในการใช้ก๊าซโพรเพนซึ่งมี ต้นทุนต่ำเป็นวัตถุดิบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขัน

นอกจากธุรกิจหลักแล้ว เอสซีจียังสร้างการเติบโตของธุรกิจให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดและพฤติกรรมลูกค้า ด้วยการรุกธุรกิจบริการ จัดจำหน่าย และกระจายสินค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการร่วมมือกับสตาร์ทอัพที่พัฒนาซอฟต์แวร์และแพลทฟอร์มสำหรับบริหารต้นทุนและซื้อขายสินค้าออนไลน์ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และขยายฐานลูกค้าร่วมกัน

ล่าสุด เอสซีจีได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 29 ใน PT Catur Sentosa Adiprana Tbk (CSA) ซึ่งเป็นธุรกิจชั้นนำของอินโดนีเซีย เพื่อเสริมศักยภาพให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายจำนวนร้านค้าปลีกสมัยใหม่สำหรับสินค้าเกี่ยวกับบ้านและวัสดุก่อสร้างภายใต้ชื่อ “Mitra10” ให้รองรับความต้องการลูกค้าได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน 27 สาขา ซึ่งมากและครอบคลุมที่สุดในประเทศ เป็น 50 สาขาภายในปี 2564 และการเพิ่มประสิทธิภาพของการกระจายสินค้าไปยังเครือข่ายร้านค้าปลีกอื่น ๆ อีกมากกว่า 30,000 แห่ง ทั่วประเทศ ด้วยระบบบริหารคลังสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ หลังจากที่โกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (GBI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของเอสซีจีได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 30 ใน PRO 1 GLOBAL Company Limited ซึ่งเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน และเครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำในเมียนมาภายใต้ชื่อ “Pro1-Global” เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาของร้านซึ่งปัจจุบันมี 6 สาขา และการพัฒนาระบบบริหาร Supply chain รวมทั้ง IT ให้รองรับ Omni Channel ในอนาคต

นอกจากนี้ เอสซีจียังเข้าร่วมทุนกับ Jusda Supply Chain Management International (JUSDA) เพื่อจัดตั้งบริษัทขนส่งและบริหารจัดการ Supply chain ที่ให้บริการทางตอนใต้ของจีนและอาเซียน ซึ่งปัจจุบันมีการค้าขายระหว่างสองภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สินค้าเกษตรและอาหาร และธุรกิจต่อยอดแบบคัดคุณภาพ รวมทั้งการซื้อขายออนไลน์ โดยคาดว่าจะจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เอสซีจียังมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนในสังคม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 45,257 ล้านบาท คิดเป็น 38% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดขาย HVA ในครึ่งปีแรกของปี 2561 ทั้งสิ้น 91,101 ล้านบาท

โดยล่าสุดได้ลงนามความร่วมมือวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทันตนวัตกรรม ร่วมกับคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และทันตแพทยสภา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมไทยสู่การพึ่งพาตนเอง ทำให้ประเทศสามารถลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ 20-30 % และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น จากการนำผลิตภัณฑ์ไปขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยของกระทรวงการคลัง รวมทั้งเอสซีจียังได้พัฒนาสินค้าและบริการให้ตามความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลอย่าง Smart Toilet หรือสุขภัณฑ์อัจฉริยะ ของ COTTO ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาดด้วย

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2561 ในอัตรา 8.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 22 สิงหาคม 2561 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2561 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 9 สิงหาคม 2561