“ฮุนเซน” ชนะเลือกตั้งศก.โต7% ทูตพาณิชย์แนะเร่งขายแฟรนไชส์ “เขมร”

“จิรวุฒิ” ทูตพาณิชย์ มั่นใจโอกาสลงทุนไทยสดใส หลังเลือกตั้งรัฐบาลใหม่กัมพูชาสานต่อนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจดันจีดีพีต่อเนื่อง 7% ชี้นักลงทุนไทยยังเข้าไปน้อย ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจีน ส่วนนักลงทุนไทยยังเข้าไปน้อย แนะหาช่องทางเข้าไปกับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อลดต้นทุนได้

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ผลการเลือกตั้งทั่วไปกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2561 ปรากฏว่า พรรค CPP ของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ออกมาประกาศชัยชนะอีกสมัย ด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 80% และที่นั่งในสภาไม่ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง เนื่องจากพรรคฝ่ายค้าน CNRPC ถูกสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองไปก่อนหน้านี้

นายจิรวุฒิ สุวรรณอาจ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีนักลงทุนบางส่วนแสดงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาว่าจะเปลี่ยนแปลงไปภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งประเด็นนี้มองว่าไม่น่าเป็นกังวล เพราะเชื่อว่านโยบายที่ชนะการเลือกตั้งจะยังคงใช้นโยบายเดิม

“นโยบายของกัมพูชามีจุดแข็งมาก เนื่องจากมีรัฐบาลชุดเดียวทำให้การบริหาร ปกครองประเทศได้ง่ายและต่อเนื่อง นโยบายด้านการส่งเสริมต่าง ๆ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นด้านการลงทุนต่าง ๆ จากต่างประเทศ อีกทั้งอนาคตยังจะมีการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟมาไทย การคมนาคมขนส่งจะดีขึ้น นี่จะเป็นโอกาสให้กับผู้ส่งออก นักลงทุนเข้าไปทำการค้าการลงทุน”

ปัจจุบันเศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 7% มามากกว่า 3 ปี และคาดว่าจะยังโตไปได้อีก หรืออาจจะเรียกว่าเศรษฐกิจกัมพูชาขยายตัวมากกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่า และยอมรับว่าตอนนี้กัมพูชาเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเป็นผลจากการเข้าไปลงทุนของต่างประเทศโดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นอันดับ 1 ทั้งในธุรกิจโรงแรม กาสิโน สาธารณูปโภคต่าง ๆ เขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นต้น ส่งผลให้รายได้ประชากรกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรก็ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง การท่องเที่ยวในกัมพูชาก็มีการขยายตัวจากนักท่องเที่ยวจีน ส่งผลให้หลายประเทศสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้น แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว การเข้าไปลงทุนในกัมพูชายังรับว่าน้อยมาก อยู่ในอันดับที่ 9 ของนักลงทุนในภาพรวม

“กัมพูชามีนโยบายดึงดูดการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศ โดยให้นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของได้ 100% แม้ว่าไม่สามารถถือครองที่ดินได้ แต่กัมพูชาก็ยังมีเปิดกว้างให้นักลงทุนเข้ามาหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันได้ และการที่ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะรากหญ้า ย่อมส่งผลให้มีกำลังซื้อ การใช้จ่ายในอนาคต กัมพูชาจึงเป็นประเทศที่น่าสนใจในการเข้าไปลงทุนทำการค้า และการผลิตเพื่อการส่งออก เพราะกัมพูชาจะยังไม่ถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ตลาดยุโรป”

นอกจากนี้ด้านขนส่งอื่น เช่น ทางเรือ ทางถนน ด่านชายแดนต่าง ๆ ปัจจุบันมีนโยบายที่จะขยายด่านชายแดนถาวรเพิ่มจาก 6 แห่งเพิ่มอีก 1 แห่งในเร็ว ๆ นี้ จะช่วยลดความแออัดด้านการขนส่งสินค้า เมื่อระบบโลจิสติกส์ดี ส่งผลให้มีการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ทั้งห้างแม็คโคร ห้าง AEON เข้าไปลงทุนในกัมพูชา และในอนาคตจะมีการขยายสาขาเพิ่มเติมรองรับความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค แม้ปัจจุบันจะมีสัดส่วนในตลาดเพียง 10% ก็ตาม แต่ยังเห็นช่องทางที่จะโตไปได้อีก และมีแนวโน้มว่าเร็ว ๆ นี้ ห้าง Big C จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน

นายจิรวุฒิกล่าวอีกว่า เทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจแฟรนไชส์ ที่นักลงทุนในกัมพูชาสนใจซื้อเพื่อนำไปประกอบธุรกิจในประเทศ ตอนนี้จะมีร้านกาแฟอเมซอน แบล็คแคนยอน MK เข้าไปในตลาดกัมพูชา และยังมีอีกหลายธุรกิจที่กัมพูชาสนใจและอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายกันอยู่

สำหรับผู้ส่งออก และนักลงทุนไทยที่สนใจเข้าไปทำตลาดกัมพูชา อาจต้องศึกษาตลาดให้ดีและให้เหมาะสม โดยอาจขยายตลาดเข้าไปร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนได้ ส่วนสินค้าที่มีโอกาสดี เช่น นวัตกรรมน่าจะไปได้ดีโดยเฉพาะธุรกิจจัดการหลังบ้าน เช่น ในโรงแรม ร้านอาหาร สปา เป็นต้น ผู้ประกอบการในกัมพูชายังขาดการจัดการหลังบ้านที่ดี ส่วนธุรกิจที่มีความอิ่มตัว คือ อาหารเสริม เครื่องสำอาง เพราะมีการแข่งขันสูง และตลาดขยายตัวไปได้ช้า หากผู้ประกอบการจะทำในธุรกิจกลุ่มนี้ เทรนด์การสร้างแบรนด์ของตัวเองในกัมพูชาจะเป็นทางเลือกโดยรับจ้างผลิต ศึกษา และวิจัย ปัจจุบันการส่งออกไทยไปกัมพูชา 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 2561) การส่งออกไทยไปกัมพูชา มีมูลค่า 57,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.56% ส่วนการนำเข้า 13,047 ล้านบาท ลดลง 8.05% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รถจักรยานยนต์ มันสำปะหลัง อะลูมิเนียม