นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า แม้ว่าสหรัฐกับตุรกีจะมีความขัดแย้งจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม แต่พื้นฐานเศรษฐกิจในหลายประเทศในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะไทยที่มีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าตุรกีมาก โดยบรรยากาศการลงทุนในหุ้น คาดว่าสถานการณ์อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ และไม่น่าจะกระทบกับตลาดหุ้นเอเชียและหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยทางออกของตุรกีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด น่าจะเป็นการขอความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟ เมื่อสถานการณ์สุกงอม ขณะเดียวกันทางธนาคารยุโรป (อีซีบี) น่าจะเข้ามาดูในส่วนสถาบันการเงิน เนื่องจากธนาคารในยุโรปบางประเทศ เช่น สเปน ฝรั่งเศส และอิตาลีเป็นผู้ปล่อยกู้หลัก
นายรักพงศ์กล่าวว่า สำหรับการปรับน้ำหนักหุ้นเอแชร์ของจีน ทางบล.เคจีไอ ไต้หวัน คาดว่าการลดน้ำหนักหุ้นประเทศอื่นๆ เพื่อชดเชยการเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นจีนน่าจะมีจำกัด โดยประเมินผลกระทบตลาดหุ้นไทยว่าเม็ดเงินต่างชาติจะไหลออกในกรณีที่แย่ที่สุดประมาณ 300-350 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามประเมินว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ไม่น่าจะกระทบปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มตลาดหุ้นไทย
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
“แนวโน้มตลาดหุ้น ดัชนีอาจจะมีการปรับฐานท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และวิกฤตค่าเงินตุรกี แต่ปัจจัยภายในประเทศยังค่อนข้างดี โดยในวันที่ 20 สิงหาคมนี้จะมีการประกาศอัตราการขยายตัวของจีดีพีไตรมาส 2/2561 ซึ่งเคจีไอประเมินว่าจะบวก 5% เร่งตัวจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 4.8% ประกอบกับความชัดเจนทางการเมืองน่าจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยมองความเสี่ยงขาลงของดัชนีตลาดหุ้นในกรอบ 1,630-1,650 จุด ทั้งนี้ล่าสุดทางสหรัฐกับจีนส่งสัญญาณกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา จึงน่าจะช่วยประคองบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นไว้ได้” นายรักพงศ์กล่าว
นายรักพงศ์กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ทางบล.เคจีไอจึงแนะนำหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาลและธนาคารพาณิชย์ที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2561 โดยแนะนำหุ้นเด่น 3 ตัว ประกอบด้วย ANAN BCH และ KBANK
ที่มา มติชนออนไลน์