“สนธิรัตน์”เผยภายหลังการนำคณะเอกชนไทยจับคู่ธุรกิจในสปป.ลาว รับประสบความสำเร็จ คาดจะมีมูลค่าการค้าเกิดขึ้นกว่า 60 ล้านบาท

“สนธิรัตน์”เผยภายหลังการนำคณะเอกชนไทยจับคู่ธุรกิจในสปป.ลาว รับประสบความสำเร็จ มีนักธุรกิจสปป.ลาวสนใจธุรกิจไทยมาก คาดจะมีมูลค่าการค้าเกิดขึ้นกว่า 60 ล้านบาท

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการนำคณะผู้แทนไทยจากภาครัฐและเอกชน เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสปป.ลาว ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 5 – 6 กันยายน 2561 ณ เวียงจันทร์ สปป.ลาว ว่า การนำคณะเดินทางครั้งนี้ นอกจากการประชุมเจรจาการค้าไทย- สปป.ลาว แล้ว ด้านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยังได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจการค้าการลงทุนระหว่างนักธุรกิจผู้ซื้อผู้นำเข้าไทย-ลาว ซึ่งมีนักธุรกิจทั้งไทยและลาวให้ความสนใจเข้าร่วมเจรจาการค้าในครั้งนี้รวมกว่า 90 ราย โดยผลการเจรจาการค้าครั้งนี้คาดว่า ก่อให้เกิดมูลค่าการค้ารวมกว่า 62 ล้านบาท

โดยกลุ่มสินค้าและธุรกิจที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในการจับคู่ธุรกิจ ได้แก่ แฟรนไชส์ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจการศึกษา และสินค้าวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังได้วางเป้าหมายด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างกันให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าหรือมีมูลค่า ประมาณ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2564 พร้อมกับร่วมหารือกันลดปัญหา อุปสรรคทางการค้าการลงทุนอีกด้วย

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย และรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมการค้าลาว ยังได้ให้เกียรติเป็นสักขีพยานการแลกเปลี่ยน MOU แฟรนไชส์ระหว่างเอกชนไทยและลาว ถึง 3 คู่ ประกอบด้วย ร้านชาและกาแฟ “Kamu” ร้านอาหารญี่ปุ่น “Sushi Mega” และ สถาบันหลักสูตรจินตคณิต “Smart Brain”

“สปป.ลาว แม้จะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็ก แต่มีอัตราเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น คนมีกำลังซื้อบวกกับนโยบายด้านการท่องเที่ยว “Visit Laos Year” ของรัฐบาล สปป. ลาว ก็เป็นแรงสนับสนุนด้านบวกในการขยายตลาดทั้งสินค้า และธุรกิจบริการ โดยเฉพาะสินค้าวัสดุก่อสร้างและธุรกิจแฟรนไชส์ ในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และการศึกษา สู่ลาว จึงเชื่อว่าความสำเร็จของกิจกรรมคู่ขนานในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสและศักยภาพของสินค้าและบริการของไทยในตลาดลาวได้เป็นอย่างดี”

สำหรับ สปป. ลาวจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่า 7% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2561 มีการคาดการณ์ว่า GDP ของลาวจะขยายตัวที่ 6.8% ภาคบริการเป็นภาคที่ขยายตัวเร็วที่สุด มีสัดส่วนถึง 39.1% ของ GDP โดยเฉพาะธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก การบริหารของภาครัฐ การขนส่ง โทรคมนาคม และการท่องเที่ยว การขยายตัวของเศรษฐกิจ สปป. ลาว ในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการพัฒนาของเมืองอย่างรวดเร็ว มีกลุ่มชนชั้นกลางจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ปัจจุบันความต้องการบริโภคสินค้าและบริการของผู้บริโภคในสปป.ลาว มีคุณภาพสูงขึ้น ต้องการความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน ประชากรกว่า 60% มีระดับอายุเฉลี่ยประมาณ 15-64 ปี ส่วนใหญ่รับราชการ หรือรับจ้างทั่วไป และนิยมอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเวียงจันทน์ สะหวันเขต หลวงพระบาง และจำปาศักดิ์ ผู้บริโภคกลุ่มนี้คุ้นเคยและนิยมสินค้าไทย เดินทางข้ามแดนไปมาระหว่างแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว นิยมซื้อสินค้าไทยจากอิทธิพลของสื่อไทย ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภค ที่มีกำลังซื้อหันมาใส่ใจกับการดูแลภาพลักษณ์ตนเองให้ดีขึ้น แต่ราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดสินใจซื้ออยู่ แต่ก็เป็นช่องทางที่ดีที่ไทยจะขยายการค้า การส่งออกด้วย

สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทย-ลาว ไทยเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของ สปป.ลาว โดยเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของ สปป.ลาว และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับหนึ่งของ สปป.ลาว โดยมูลค่าการค้ารวมไทย-สปป.ลาว ปัจจุบัน อยู่ที่ 3,433 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.76% ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออก มีมูลค่า 2.470 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.63% ส่วนการนำ มีมูลค่า 1,504 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 25.33%

สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไป สปป. ลาว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็กเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เคมีภัณฑ์ สินค้าปศุสัตว์อื่นๆ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นต้น สำหรับสินค้านำเข้าสำคัญจาก สปป. ลาวมายังไทย ได้แก่ เชื้อเพลิงอื่นๆ สินแร่โลหะอื่นๆเศษโลหะ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผักผลไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ปูนซิเมนต์ เป็นต้น