พาณิชย์กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มตกต่ำ

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากข้อร้องเรียนปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ โดยมีข้อเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบหาสาเหตุว่าเป็นการฉวยโอกาสของกลุ่มพ่อค้าหรือไม่ ในการรับซื้อผลผลิตในราคาที่ถูกเพื่อให้ได้กำไรมากนั้น เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เข้าสู่โรงสกัดในปี 2560 มีปริมาณมากเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2559 ซึ่งในเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.70 เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.36 และเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.12 ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันปาล์มที่โรงสกัดผลิตได้ในแต่ละเดือนมีมากเกินกว่าความต้องการใช้ของโรงกลั่นและผู้ผลิตไบโอดีเซล ทำให้มีสต็อกน้ำมันปาล์มคงเหลือเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าสาเหตุที่ราคาผลปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มลดลง เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากโรงกลั่นและผู้ผลิตไบโอดีเซล มีสต็อกน้ำมันปาล์มจำนวนมาก ประกอบกับภาวะการค้าน้ำมันพืชปาล์ม (น้ำมันขวด) ไม่คล่องตัว แม้ราคาจำหน่ายลดลงเหลือขวดละ 34 – 36 บาทตามราคาวัตถุดิบ โรงกลั่นจึงไม่เร่งรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ขณะเดียวกันโรงสกัดฯซึ่งมีสต็อกคงเหลือจำนวนมาก ต้องระบายน้ำมันปาล์มออกจากสต็อกโดยจำหน่ายในราคาที่ต่ำลง เป็นผล กระทบทำให้รับซื้อผลปาล์มน้ำมันในราคาที่ต่ำลงตามไปด้วย

ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยให้คณะทำงานตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์มคงเหลือทั้งระบบระดับจังหวัด ซึ่งมีพาณิชย์จังหวัดเป็นประธาน ออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มคงเหลือของโรงกลั่น โรงสกัด ผู้ผลิตไบโอดีเซล คลังรับฝาก ผู้ซื้อน้ำมันพืชปาล์มเพื่อจำหน่ายและผู้ซื้อเพื่อใช้น้ำมันปาล์ม พร้อมกันทุกจังหวัดในช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนสิ้นเดือน เป็นประจำทุกเดือน เพื่อใช้ประกอบการวางแผนบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม ซึ่งพบว่าน้ำมันปาล์มมีสต็อกคงเหลือเพิ่มมากขึ้นนับแต่เดือนเม.ย. 60 สอดคล้องกับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เข้าสู่โรงสกัด จึงประสานกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้ปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบผลิตเป็นไบโอดีเซล (B100) ผสมในน้ำมันดีเซล จาก B5 เป็น B7 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. 60 นอกจากนี้ ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาด ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เพื่อแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแบบยั่งยืน โดยการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ให้มีการซื้อขายผลปาล์มน้ำมันตามคุณภาพเปอร์เซ็นต์น้ำมัน ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งได้ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดแหล่งผลิตพิจารณาดำเนินการตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแล ตรวจสอบการรับซื้อเข้มงวดกวดขันการติดป้ายแสดงราคา และกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้นำผลปาล์มที่ไม่ได้คุณภาพกลับเข้าสู่โรงสกัดได้อีก และขอความร่วมมือสภาเกษตรกรจังหวัด ชี้แจงทำความเข้าใจเกษตรกรในพื้นที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมัน โดยการดูแลรักษาสวนปาล์มเพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 2.5 ตัน เป็น 3 ตัน และการตัดปาล์มสุก จะทำให้ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันเพิ่มขึ้น เช่น จาก 16-17 % เป็น 18 % จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นทันที เนื่องจาก 1 เปอร์เซ็นต์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 300 บาทต่อตัน รวมแล้วจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มถึง 3,350 บาท/ไร่ รวมทั้งมอบให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การปฎิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม โดยเฉพาะด้านมาตรฐานให้เป็นมาตรบังคับ และเร่งเสนอร่าง พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันฯ มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย

ในด้านการบริหารระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือ ได้ขอให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ประสานผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ให้ปรับเพิ่มสำรองไบโอดีเซล (B100) มากขึ้น จากปกติอยู่ที่ 13 ล้านลิตร (11,050 ตัน) เป็น 68 ล้านลิตร ในเดือน มิ.ย. 90 ล้านลิตร ในเดือน ก.ค. และ 120 ล้านลิตร (102,000 ตัน) ในเดือน ส.ค. ซึ่งจะช่วยให้ปริมาณน้ำมันปาล์มในระบบลดน้อยลง

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังได้ขอให้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เข้มงวดในการนำเข้า นำผ่านหรือผ่านแดนน้ำมันปาล์ม และร่วมประชุมคณะทำงานการแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม ภายใต้ กนป. ซึ่งมีผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานฯ คณะทำงานมีมติให้ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องอีกด้วย