เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561 บริษัท ฮิตาชิ จำกัดและบริษัท ฮิตาชิ เอเชีย จำกัด “เปิดศูนย์ลูมาดา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Lumada Center Southeast Asia)” ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์แรกในโลกนอกประเทศญี่ปุ่น ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ศูนย์ลูมาดาเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) เพื่อการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะในเฟสแรกให้กับผู้ประกอบการทุกรายที่สนใจจะใช้ IoT เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีระดับสูง
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า
ศูนย์ลูมาดา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผลมาจาก MOU ระหว่าง อีอีซี กับ บริษัทฮิตาชิ ที่ได้ลงนาม
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ในระหว่างการเยือนอีอีซี ของ นายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (METI) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งครั้งนั้นท่านได้นำแนวทาง Connected Industry มาเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันประเทศไทย ให้นำระบบอัตโนมัติ (Automation) และ IoT มายกระดับให้ฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทคนไทยในประเทศ ก้าวเข้าสู่ความทันสมัย และสามารถเชื่อมโยงเข้ากับฐานการผลิตโดยโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศูนย์ลูมาดา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากจะขยายธุรกิจ IoT แล้วยังทำงานเสมือนเป็น “พี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษาด้าน Connected Industry” ให้กับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยและบริษัทไทย โดยการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อให้การปรับตัวเข้าสู่ IoT เป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และ มีประสิทธิภาพ ภารกิจสำคัญของศูนย์ลูมาดา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ
1.สร้าง IoT แพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ผ่านการเชื่อมต่อและวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ของลูกค้า (big data analytics) 2.สร้าง solution ผ่านการใช้เทคโนโลยี (co-creating digital solutions) 3.นำเครื่องมือ AI ของศูนย์ลูมาดา รวมความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการดำเนินงาน
(Operational : OT) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) เข้าด้วยกันไปปรับใช้กับกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจหลากหลายและการใช้งานในรูปแบบต่างๆ
ศูนย์ลูมาดาตั้งเป้าที่จะเข้าถึงโรงงานทั่วประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตโดยระยะแรกเป็นการยกระดับความสามารถในการผลิตเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) จากหลากหลายเครื่องมือ เช่น การติดตามและตรวจสอบจากระยะไกล (Distance monitoring) เป็นต้น และคาดว่าในระยะต่อไปจะยกระดับสู่การจัดการระหว่างโรงงานต่อโรงงาน (Inter-Factories) ด้วยการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ