พณ.กางสินค้าโอกาสทำเงิน!! หลังทรัมป์ขึ้นภาษีจีนรอบใหม่ ปธ.หอค้าไทย ชี้ไม่กระทบส่งออก

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ เดินหน้าใช้มาตรการภาษีตอบโต้จีนเพิ่มเติม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา และการเจรจากับจีนยังคงไม่ได้ข้อสรุปที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองฝ่าย โดยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561 สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนจำนวน 5,745 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตราร้อยละ 10 บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2561 ก่อนปรับเป็นอัตราร้อยละ 25 ในวันที่ 1 มกราคม 2562 นั้น คาดว่าจีนจะตอบโต้สหรัฐฯ เร็วๆนี้ ตามที่ได้ขู่ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 5,207 รายการ ร้อยละ 5- 25 มูลค่ารวม 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนรายการสินค้าที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า ทาง สนค. ประเมินว่า ไทยยังมีศักยภาพส่งออกสินค้าทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ หลายชนิด อาทิ สินค้าเกษตร เช่น ถั่วแห้ง แผ่นยางสดรมควัน ข้าวสี (rice milled) ยางแท่ง ผักผลไม้สด แช่แข็ง แช่เย็นและแปรรูป เช่น กล้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด มะละกอ สับปะรด เป็นต้น อาหารทะเลแช่แข็ง และแปรรูป อาทิ ปลาทูน่าบิ๊กอาย ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทูน่าครีบเหลืองสดและแช่แข็ง เนื้อปลาแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาทิ น้ำผึ้งธรรมชาติ อาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม อาทิ อาหารสุนัข/แมวสำหรับขายปลีก เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ที่ไม่ใช่น้ำผลไม้) เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก อาทิ กรดซิตริก ยานยนต์และส่วนประกอบ อาทิ เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยางรถยนต์

โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกทดแทนสินค้าจีนสูง ได้แก่ ข้าวสี ยางแท่ง มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด น้ำผึ้งธรรมชาติ กรดซิตริก เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ตัดสินค้าออกเกือบ 300 รายการ (มูลค่าประมาณ 1,064 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ออกจากรายการเดิมที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เสนอไว้ 6,031 รายการ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคและความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมการผลิต และส่วนใหญ่เป็นสินค้า 1.อิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตประจำวัน อาทิ นาฬิกาอัจฉริยะ อุปกรณ์บลูทูธ 2. เคมีภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการผลิต อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม และการเกษตร และ 3. อุปกรณ์เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น หมวกกันน็อก ที่นั่งสำหรับเด็ก คอกสำหรับปล่อยให้เด็กเล่น

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวเว่า สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ยังไม่มีทีท่ายุติในระยะอันใกล้ โดยมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ล่าสุด สนค. ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งจากหน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ และความมั่นคง ร่วมหารือแนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์การค้า เพื่อกำหนดจุดยืน ที่เหมาะสมของประเทศไทยในห้วงสงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน ภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งภาพกว้าง อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลเชิงลึก อาทิ ประเด็นด้านความมั่นคง ซึ่งการหารือรอบนี้ เช่น ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับประเด็นหลายๆ ด้านประกอบกัน

โดยเฉพาะการหาพันธมิตรในโลกการค้าปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ประเด็นความมั่นคงจะมีความเชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น และไทยควรจะใช้โอกาสจากการเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 เพื่อเสริมสร้างกลไกที่อาเซียนมีอยู่แล้วให้เข้มแข็งมากขึ้นเพื่อให้อาเซียนสามารถรับมือกับภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงได้

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวอีกว่า ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น นักวิชาการเห็นพ้องกันว่า เบื้องต้นต้องเน้นการรักษาความมีเสถียรภาพก่อน ซึ่งคิดว่าไทยสามารถทำได้ดี เพราะมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป้าหมายต่อไปต้องสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและในสายตานักลงทุนต่างชาติ รวมทั้ง ต้องเน้นย้ำจุดแข็งความเป็น world class ของไทยในด้านต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน การดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศควรต้องคำนึงถึงการกระจายผลประโยชน์ไปถึงเศรษฐกิจฐานราก ให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจด้วย

“นอกจากประเด็นสงครามการค้าแล้ว ประเทศไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนต่างๆ ที่แต่ละภาคส่วนควรให้ความสำคัญ อาทิ วิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ และเรื่องความไม่แน่นอนทาง ภูมิรัฐศาสตร์โลกโดยต้องมีมุมมองเชิงกว้างจากการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งมองไปในอนาคตเพื่อเตรียมรับมือกับยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว” นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว

ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ยังไม่น่าวิตกว่าการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐและจีนจะกระทบส่งออกไทย ตรงกันข้ามเห็นว่าไทยได้ประโยชน์ต่อการส่งออกได้เพิ่ม และดีต่อการย้ายฐานลงทุนมาไทยในอนาคต

ที่มา : มติชนออนไลน์