3 ปลัดกระทรวงป้ายแดง ดัน “ธงฟ้า-ไทยนิยม” ก่อนเลือกตั้ง

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นสัปดาห์แรกการทำงานของปลัดใหม่ป้ายแดงในกระทรวงเศรษฐกิจ 3 คน คือ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ แทนนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค, นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร มารับตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน แทนนายธรรมยศ ศรีช่วย และ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว มารับตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทนนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ

ภารกิจเร่งด่วนที่ “นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร” ต้องดำเนินการ คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความเข้มแข็ง ตามนโยบายของรัฐบาล โดยผ่านโครงการธงฟ้าประชารัฐ ถุงเงินประชารัฐซึ่งโครงการนี้ดำเนินการมาครบ 1 ปี มีผู้สมัครเข้าร่วมแล้วกว่า 40,000 ราย แต่กระทรวงพาณิชย์ต้องการผลักดันให้ได้ 100,000 รายตามเป้าหมาย พร้อมทั้งมอบให้พาณิชย์จังหวัดเดินหน้าประชาสัมพันธ์ผลักดันโครงการอย่างเต็มที่

ภารกิจการดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรพื้นฐาน สร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชหลักที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงพาณิชย์ทั้งข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ผลไม้ ปาล์มน้ำมัน ตามนโยบายการตลาดนำการผลิต (demand driven) โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคเอกชน พร้อมทั้งเร่งวางระบบ big data ในการดูแลพืชเกษตร เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจนบริหารจัดการปัญหาด้านการผลิตและการตลาดได้

ด้านต่างประเทศนั้นจะมีการจัดประชุมมอบนโยบายสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ขึ้นในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายผลักดันการส่งออกในช่วงโค้งสุดท้าย และเป้าหมายการส่งออกในปี 2562 แต่สิ่งสำคัญที่ปลัดพาณิชย์ต้องการให้ทูตพาณิชย์จับตาสถานการณ์สงครามการค้า พร้อมทั้งกำหนดแนวทางให้วิกฤตกลายเป็นโอกาสทางการค้าให้ได้ โดยจะต้องวิเคราะห์ว่าสินค้าใดมีโอกาสจะผลักดันการส่งออก ทั้งจะมุ่งเน้นการผลักดันการส่งออกไปยังตลาดต่าง ๆ โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่ยังมีทิศทางเติบโต ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์สินค้าไทย พร้อมกันนี้ กระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งเตรียมการการเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า และการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ในตลาดเป้าหมาย ตลอดจนการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (strategic partnership)

“กุลิศ” สาง 2 เรื่องด่วน

ในฟากฝั่งกระทรวงพลังงาน “นายกุลิศ สมบัติศิริ” วางนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องด้วยกัน คือ การเดินหน้าพิจารณาการยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ที่มีอยู่ 5,200 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งพิจารณางบฯในปี 2562 ประมาณ 10,448 ล้านบาท

โดยจะทบทวนหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติใหม่เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลัง และจะ “นำความรู้ที่ตนถนัดจากเดิมมาปรับใช้ในการพิจารณากองทุนให้เหมาะสม” เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และต้อง “สอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน” รวมถึงจัดลำดับความสำคัญ “เท่าที่จำเป็น” ของโครงการสำคัญเร่งด่วน อาทิ โครงการพระราชดำริ หรือทบทวนงบประมาณบำรุงรักษาเดิมว่ามีความสำคัญต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ จะต้องมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาประเมินผลด้วย โดยเฉพาะการเร่งตรวจสอบข้อร้องเรียนกรณีความไม่โปร่งใสการดำเนินงานของกองทุนในปีที่ผ่านมา 2561

อีกด้านจะเดินหน้าประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียมบงกช-เอราวัณ ซึ่งได้เปิดให้มีการยื่นข้อเสนอไปแล้วเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา โดยปลัดใหม่ฯยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยจะทำให้เกิดกระบวนการโปร่งใสเพื่อประโยชน์ของประเทศ

ขับเคลื่อน 6 นโยบายเกษตร

ในส่วนของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “อนันต์ สุวรรณรัตน์” นั้นเรียกว่ามารับภารกิจเผือกร้อน ขับเคลื่อนงานที่ต้องดูแล 14 กรม 7 รัฐวิสาหกิจอย่างโปร่งใส สานต่องานตาม 6 นโยบายเร่งด่วนที่ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด (over supply)

โดยการเชื่อมโยงข้อมูล big dataด้านการเกษตรร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และอาศัยกลไกระบบสหกรณ์เข้ามาช่วยในการกระจายผลผลิต ตลอดจนการผลิตข้าวครบวงจรและการเดินหน้านโยบายเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการเพาะปลูกสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรฐานราก

ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เร่งวางระบบดูแลด้านชลประทาน การบริหารจัดการน้ำสำหรับการเกษตร การแก้ไขปัญหาราคายางพาราและการบริหารจัดการยางในสต๊อกเก่าที่ยังคงเหลือ 1 แสนตัน การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย (IUU) เพื่อให้ไทยหลุดพ้นใบเหลืองจากอียูที่ค้างคามานานกว่า 3 ปีด้วย