ชง ครม.เคาะหลักการแผนศึกษาการลงทุนท่าเรือระนอง-รถไฟทางคู่ เชื่อม SEC-EEC วงเงิน 20,000ล้าน

ชง ครม.เคาะหลักการแผนศึกษาการลงทุนท่าเรือระนอง-รถไฟทางคู่ เชื่อม SEC-EEC วงเงิน 20,000ล้าน ลุ้นเสร็จกลางปีหน้า เตรียมส่งไม้ต่อครม.ใหม่ก่อสร้าง 5โครงการอีอีซี หวังปั้นเป็นกรุงเทพแห่งที่ 2 ใน 20 ปี

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองประธานกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยหลังจากในการปาฐกถาพิเศษ “จากอีอีซีสู่เศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ” ในงานสัมมนา Next Step Thailand : EEC ยุทธศาสตร์ไทยเชื่อมโลก ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า ภายในเดือนนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) พิจารณาหลักการโครงการพัฒนาท่าเรือ จ.ระนอง และรถไฟทางคู่เชื่อมต่อจ.ระนอง-ชุมพร ภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ ภาคใต้(SEC)

ซึ่งคาดว่าหากผ่านครม.แล้วจะดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนให้ได้ข้อสรุปในกลางปี 2562 คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท หรือโครงการละประมาณ 10,000 ล้านบาท

“ขณะนี้ทางสภาพัฒน์เตรียมการไว้แล้ว SEC จะต่างจาก EEC เพราะ EEC จะเน้นอุตสาหกรรมระดับสูงแต่ SEC จะนำการลงทุนไปยัง 4 จังหวัดที่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นการเปิดประตูสู่ภาคใต้ จะเน้นไปที่เรื่องที่จุดเด่นของภาคใต้ เช่น การพัฒนาป่าชายเลน ศุนย์วิจัยปาล์ม ยาง การทำประมงชายฝั่ง ซึ่งไม่เพียงการเชื่อมโยงรถไฟทางคู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่รัฐบาลจะมีการเปิดในเมืองใหม่ อาทิ เชียงของ บ้านไผ่ มุกดาหาร ด้วย”

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะช่วยเชื่อมโยงเส้นทางการค้าจากอีอีซี ผ่านรถไฟรางคู่ไปสู่ท่าเรือระนอง-ท่าเรือเมียนมา ต่อเข้าสู่ประเทศอินเดีย โดยจะสามารถลดระยะเวลาการขนส่งจาก 12-25 วันเหลือ 4 วัน และสามารถเชื่อมต่อไปยังศรีลังกา และบังคลาเทศ ทั้งยังจะเป็นการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากกลุ่มประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรอินเดีย นอกจากนี้รัฐบาลได้พยายามผลักดันโครงการไทยแลนด์ริเวียร่า

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าแม้ว่ากว่าโครงการนี้จะเสร็จสิ้นกลางปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลใหม่ก็จะไม่ทำให้โครงการสะดุด เพราะโครงการนี้ให้ประโยชน์ทำให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามาก็น่าจะเดินหน้าต่อ

นายกอบศักดิ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการลงทุน 5 โครงการสำคัญในอีอีซีว่า รัฐบาลจะดำเนินการหาข้อสรุปเรื่องการประมูลและสัญญาการก่อสร้างตามแผนการลงทุนโครงการทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ โดยรัฐบาลใหม่เข้ามาจะสามารถสานต่อการดำเนินการก่อสร้างและชำระเงินตามแผนการลงทุนได้ทันที

“ขณะนี้ได้เปิดให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมยื่นซองโครงการถไฟไฮสปีดไปแล้ว 2 วันก่อน อยู่ระหว่างการพิจารณาคาดว่าจะได้ข้อสรุปในรัฐบาลนี้ จุดสำคัญคือการพัฒนาเมืองใหม่บริเวณจุดจอด หรือ TOD ซึ่งขณะนี้วางไว้ 3-4 จุด เช่น พัทยา อูตะเภา และมีเอกชนให้ความสนใจ 3-4 ราย อยู่ในกระบวนการ”

ส่วนของโครงการสนามบินอู่ตะเภากำลังทำ TOR เรามีเป้าหมายจะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการบินและศูนย์ซ่อมเครื่องบิน คล้ายสนามบินฮ่องกง หรือสนามบินอินฌอนเกาหลีใต้ที่มี “ซองโด”เป็นแหล่งท่องเที่ยว และท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าจากจีนตะวันตก อินโดจีน เรามองจากทาเรือในเนเธอร์แลนด์ มีมีการพัฒนาอย่างน่าสนใจ

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า หากอีอีซีสำเร็จจะเป็นทางเลือกที่ 3 ที่มีความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถดึงดูดการลงทุน บริษัท Head Quarter จากประเทศสิงค์โปร์ให้หันมาในไทยมากขึ้น เพราะด้วยไทยมีศักยภาพด้านเมนูเฟคเจอริ่ง ตลาด และนักลงทุนสามารใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างมีความสุข และทั้งยังมีความพร้อมในระบบโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือ สนามบิน รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และยังสามารถเชื่อมโยงกับประเทศ CLMV + T ซึ่งมีประชากรมากกว่า 230 ล้านคน และ บังคลาเทศและศรีลังกากว่า 130 ล้านคน รวมกว่า 400 ล้านคน

“ต่อไปหากนักลงทุนคิดถึงเอเชียต้องคิดถึง EEC การพัฒนาตั้งแต่แหลมฉบัง สัตหีบ มาถึงมาบตาพุด 150 ตร.ม. จะถูกพัฒนาเป็นกรุงเทพใหม่ หรือ กรุงเทพแห่งที่ 2 ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในอีก 20 ปีข้างหน้า”

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ จะประกาศ ทีโออาร์ ประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกพื้นที่ 6,500 ไร่ ซึ่งเป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างกองทัพเรือ และสำนักงาน อีอีซี ซึ่งจะเปิดให้เอกชนเข้ามายื่นประมูลโครงการนี้ โดยจะมีโครงการย่อยภายใน 6 โครงการ เช่น การก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร เทอมินอล 3 และศูนย์ธุรกิจการค้า ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ ธุรกิจซ่อมเครื่องบิน ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรการบิน และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอากาศยาน ซึ่งผู้เข้าร่วมประมูลต้องทำได้ทั้ง 6 กิจกรรม

“ในส่วนของพื้นที่ดิวตี้ฟรีนั้นเป็นคนละส่วนที่กองทัพเรือเปิดประมูลและได้ผู้ชนะประมูล 2 ราย ซึ่งอยู่ในส่วนของเทอมินอล 2 แต่ดิวตี้ฟรีในเทอมินอล 3 เชื่อว่าจะมีเอกชนเข้ามาบริหารเชิงพาณิชย์มากกว่า 2 ราย เพราะพื้นที่ใหญ่และเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูง ซึ่งทีโออาร์จะไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบสำหรับรายที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ และหากเห็นทีโออาร์บอกได้เลยว่าจะมีเซอร์ไพรส์แน่นอน”

นายคณิศ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้ง 5 โครงการตามแผน โดยจะประกาศทีโออาร์ ภายในเดือนนี้ และคาดว่าจะได้รายชื่อบริษัทผู้ชนะการประมูลภายเดือน ก.พ. 2562 ใช้เวลาก่อสร้าง 3-5 ปี โดยโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการสนามบินอู่ตะเภา จะแล้วเสร็จพร้อมกันในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งคาดว่าภายใน 5 ปี สนามบินอู่ตะเภาจะขยายไปเป็นเมืองการบินได้ ซึ่งหลังจาก 2 โครงการนี้เสร็จ ก็จะเกิดการขยายเมืองใหม่ตามมา

“โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ในอดีตต่างชาติจะเป็นผู้นำในการลงทุน และมีบริษัทไทยเป็นผู้ตาม แต่ในขณะนี้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินผู้ประมูลหลักจะเป็นบริษัทของคนไทยเป็นผู้นำ และไปจับมือต่างชาติเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร ซึ่งตรงกับความต้องการของ อีอีซี ที่ต้องการใช้เงินของไทย และบริษัทไทยเป็นผู้ลงทุน ทำให้ผลประโยชน์ตกลงสู่ประเทศไทยมากที่สุด”