ชาญศิลป์ ตรีนุชกร PTT Transform 2019

เมื่อความต้องการพลังงานในอนาคตถูกปรับเปลี่ยน เทคโนโลยีใหม่เข้ามาดิสรัปต์ ทำให้รูปแบบการใช้พลังงานเปลี่ยนไป จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ธุรกิจพลังงานจำเป็นต้องปรับตัวรับมือ พร้อมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา THAILAND 2019 ที่ “ประชาชาติธุรกิจ” จัดขึ้นว่า

เทคโนโลยีดิสรัปท์พลังงาน 

ทิศทางการใช้พลังงานเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2040 ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านคนจากปัจจุบัน ทำให้แนวโน้มการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาเรื่องความร้อนที่มากขึ้น ทำให้เกิด “ภาวะเรือนกระจก” ซึ่งกระทบต่อธุรกิจพลังงาน เช่นเดียวกัน “เทคโนโลยี” มีบทบาทมากขึ้น และมีต้นทุนการผลิตลดต่ำลง

ทั้งพลังงานลมและพลังงานโซลาร์ และมีการคาดการณ์ว่าทิศทางการใช้ “renewable” จะใช้เวลา 10-15 ปี หลังจากระบบกักเก็บพลังงาน (energy storage) ถูกลง นอกจากนี้ ยังมีพลังงานอื่นเข้ามาทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง LNG พลังงานก๊าซธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้เรายังต้องพึ่งพิงพลังงานน้ำมันและก๊าซอยู่ประมาณ 50% และในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า

สิ่งที่จะมาดิสรัปต์พลังงาน อันดับแรก คือ ระบบดิจิทัลในการขุดเจาะที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถระเบิดชั้นหิน เห็นจากการผลิตฟอสซิลในสหรัฐ จากเดิมสหรัฐเป็นประเทศผู้ใช้ แต่ปัจจุบันมาส่งออก ทั้งก๊าซ น้ำมัน ส่วนกลุ่มโอเปก 15 ประเทศที่ผลิตน้ำมัน ผลิตลดลงเหลือ 40% จาก 60-70% ที่ผลิตออกมา เพราะมีประเทศใหม่ เช่น รัสเซีย นอร์เวย์ แอฟริกา เข้ามาผลิตพลังงานมากขึ้น ทำให้การควบคุมซัพพลายซอร์ซของโอเปกทำได้น้อยลง

ด้านความต้องการใช้ก็ขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย อาเซียน ขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จากการกักเก็บพลังงานก็ดีขึ้น โดยคาดการณ์ว่า รถ EV ทั้งโลกมีประมาณ 5 ล้านคัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศจีน ยุโรป สหรัฐ จากจำนวนรถทั้งโลก 1.2 พันล้านคัน ขณะที่จำนวนรถในประเทศไทยประมาณ 39 ล้านคัน มีรถ EV 1,000 คัน ซึ่งก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น คาดว่าจะมีประมาณ 5-6 ล้านคัน ทำให้กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันประมาทไม่ได้ เทรนด์นี้จะเข้ามาได้เร็วเท่าไรขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการส่งเสริม

การผลิตแบตเตอรี่ กำลังการผลิตไฟฟ้าจะมีเพียงพอต่อความต้องการใช้งานหรือไม่

ภาพรวมพลังงานไทย 

ประเทศไทยนั้น พลังงานจากธรรมชาติยังเป็นพลังงานหลักของประเทศ ทั้งถ่านหิน ก๊าซ น้ำมัน และประเทศไทยต้องนำเข้าพลังงาน 85% จากตะวันออกกลาง แต่สัดส่วนการใช้น้ำมันน้อยลง โดยเฉพาะน้ำมันที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำมันเตา หรือน้ำมันที่ไฮซัลเฟอร์ต่าง ๆ จะใช้น้อยลง คนจะหันมาใช้ก๊าซจากธรรมชาติมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยได้ 70% แต่ปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ภาครัฐจะเปิดสัมปทานช่วงต้นปี ซึ่งจะลงทุนมากน้อยเพียงใดต้องดูรายละเอียดของโครงการต่อไป

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่อง ทำให้การใช้พลังงานก็เติบโตไปด้วย แต่เติบโตน้อยกว่าเศรษฐกิจ เพราะความสำเร็จการนำพลังงานทดแทนมาใช้ทำได้ดี และภาคที่ใช้พลังงานโดยหลัก เช่น ภาคขนส่ง อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหน่วยพลังงานขั้นสุดท้ายทั้งหมด โดยการใช้ไฟฟ้านั้นเทียบเท่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ บางครั้งก็มากกว่าด้วย เนื่องจากมีประชากรแฝงเป็นจำนวนมาก เช่น นักท่องเที่ยวที่ทำให้มีการใช้ไฟฟ้า ดังนั้น ทิศทางจะเพิ่มขึ้น โดยมีก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไฟฟ้า ประมาณ 4,700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และการใช้ในอนาคต 4,000-5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานอื่น แต่เมื่อไรหากเอเนอร์จีสตอเรจมาก็จะสามารถกักเก็บไฟฟ้าได้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่ต้องติดตาม คาดการณ์อนาคตพลังงาน

การใช้น้ำมันส่วนใหญ่ค่อนข้างไม่เติบโตตามจีดีพี เช่น น้ำมันเตาติดลบแล้ว ซึ่งต่างจากอดีต และอนาคตปี 2020 องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ หรือ

“International Maritime Organization

(IMO)” โดยเฉพาะเรือขนส่งขนาดใหญ่อาจจะมีการประกาศการใช้พลังงานเข้ามาใช้เปลี่ยนไป อาจใช้น้ำมันเตาในการเผาไหม้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันดีเซลผสม ดังนั้น ความต้องการใช้น้ำมันเตาจะลดลง ทำอย่างไรที่จะนำน้ำมันเตาที่มีอยู่ปรับเปลี่ยนไปเป็นปิโตรเคมี หรือน้ำมันชนิดอื่น

และยังโชคดีที่ประเทศไทยมีการเติบโตด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันเครื่องบิน (jet) ยังเติบโต ส่วนการใช้ก๊าซ LPG ยังทรงตัว เนื่องจากมีจำนวนคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคหันมาใช้ไฟฟ้าในการประกอบอาหารลดการใช้ LPG และก๊าซโซลีนก็ถูกทดแทนโดยการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ประหยัดมากขึ้น และระบบขนส่งที่ปรับรูปแบบก็มีทดแทนพลังงานที่เราผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนน้ำมันดีเซลก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์หลัก เติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศ แต่อนาคตก็อาจถูกทดแทนด้วยน้ำมันไบโอดีเซล และถูกชดเชยด้วยรถไฟฟ้าที่จะเข้ามา นั่นคือ ภาพการคาดการณ์ในอนาคตที่เรามองไว้

ปตท.เดินหน้าอย่างไร

“ปตท.” เกิดขึ้นมานานกว่า 40 ปี จากยุคประเทศไทยน้ำมันหมด เพราะมีแต่บริษัทน้ำมันต่างประเทศ รายได้ ปตท.เป็นไปตามราคาน้ำมัน และปริมาณการจำหน่าย ซึ่งบางปีก็ 2 ล้านล้านบาทหรือมากน้อยกว่านั้น ปัจจุบัน ปตท.เผชิญกับความท้าทายในอนาคต ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลง megatrend นโยบายภาครัฐ ประเด็นการยอมรับ-การสร้าง

วาทกรรมเชิงลบต่าง ๆ การปรับ business

portfolio ซึ่งจะกำลังเปลี่ยนไปสู่การทำน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีมูลค่าสูง และทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่นับวันจะน้อยลง องค์กรและการจ้างงาน

ดังนั้น ปตท.จึงได้ปรับการดำเนินการผ่านบริษัทในเครือ ตั้งแต่ “ต้นน้ำ-ปลายน้ำ” นับจากการสำรวจแหล่งพลังงาน ถ่านหิน LNG, กลางน้ำ-ปลายน้ำ โดยเฉพาะเรื่องของโรงกลั่น ปิโตรเคมี การขายปลีกน้ำมัน รวมถึงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ปตท.ให้ความสำคัญกับภารกิจการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก อีกทั้งเรายังมองหาธุรกิจใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปีก่อน เทคโนโลยีและวิศวกรรม เพื่อเน้นหาสิ่งใหม่ เพราะต้องการให้บริษัทเป็นความภูมิใจของสมบัติของชาติ และต้องการให้เติบโตไปด้วยความยั่งยืน

ชู 3D ลุย newS-curve

ภาพบ้าน ปตท. เรามีกลยุทธ์ 3 ด้าน หรือ 3D คือ do now, decide now และ design now เริ่มจากวันนี้เราต้องการเอาสิ่งที่เป็นส่วนเกินออกไป นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือดำเนินการต่อยอดธุรกิจเดิม พร้อมกันนี้ เราให้ความสำคัญเรื่อง new S-curve ที่จะเกิดขึ้น โดยความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่กำลังทำด้านต่าง ๆ เช่น สมาร์ทซิตี้

ส่วนเรื่องความมั่นคงนั้น ปัจจุบันเรามีท่อก๊าซอยู่ประมาณ 4,000 กว่ากิโลเมตรในประเทศไทย อยู่ในอ่าวไทย 3 ท่อ และขึ้นมาบนบกกระจายสู่กลุ่มอุตสาหกรรมกว่า 30 นิคม ในส่วนของตะวันตกและตะวันออก แต่อนาคตก็จะให้มีความเชื่อมโยงของทั้ง 2 ฝั่ง จะทำให้เกิดความมั่นคงของพลังงานและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคลังก๊าซและน้ำมันด้วย

นอกจากนี้ ยังมีระบบ AI เข้ามาช่วย โดยทดลองใช้ในโรงแยกก๊าซโรงแรก ซึ่งจะขยายการใช้ให้ได้ทั้ง 6 โรง อยู่ระหว่างการบันทึกปัญหาและปรับปรุงแก้ไข และเรายังได้นำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในการตรวจสอบท่อก๊าซ การลงทุนขุดเจาะในทะเลซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนไม่สามารถเข้าไปได้

เรื่องนี้บริษัทให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งมีความร่วมมือในทุกหน่วยงาน ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน โดยกำหนดเป้าหมายไว้ 6 ด้าน เราเชี่ยวชาญด้านพลังงาน ไลฟ์สไตล์ ไบโออีโคโนมี สมาร์ทซิตี้ เป็นต้น นี่คือ ธีมที่เรากำลังจะทำเรื่องใหม่ ๆ ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพราะเราก็ถูกดิสรัปต์จากเทคโนโลยีต่าง ๆ