“กฤษฎา” ย้ำรักษาเสถียรภาพยางพาราต้องเน้นใช้งานในประเทศ-ลดพื้นที่ปลูกลง 30%

รัฐมนตรีว่าการกระทวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการให้ กยท. และหน่วยงานต่างๆ ส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ เนื่องจากการพึ่งพาการส่งออกถึง 86% ทำให้ตลาดต่างประเทศมีอำนาจกำหนดราคา อีกทั้งจะต้องลดพื้นที่ปลูกลง 30% จึงจะทำให้ผลผลิตสมดุลกับความต้องการของตลาด ราคาจึงจะมีเสถียรภาพ

นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาราคายางพารา ว่าได้สั่งการให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เร่งส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ จากจากกำลังการผลิต 4.5 ล้านตันต่อปี ใช้ในประเทศเพียง 6 แสนตัน หรือประมาณ 14.2% เท่านั้น ซึ่งการที่ผลผลิตส่วนใหญ่ถูกนำไปส่งออกมากถึง 86% ทำให้ตลาดมีอำนาจเป็นผู้กำหนดราคา เนื่องจากการซื้อขายเป็นแบบซื้อขายล่วงหน้า จะส่งมอบยางพาราตามที่กำหนดไว้ในสัญญา

เมื่อเปรียบเทียบมาเลเซียซึ่งใช้ยางพาราในประเทศ 35% และส่งออก 65% ทำให้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำของมาเลเซียไม่รุนแรงเท่ากับไทย โดยราคายางแผ่นดิบตอนนี้กิโลกรัมละ 40 บาท ต้นทุนอยู่ที่ 63 บาท ซึ่งธนาคารโลกเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ใน 5 ปีข้างหน้า ราคายางพาราจะไม่เกิน 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 66 บาท อีกทั้งขณะนี้สงครามการค้ามีผลกระทบโดยตรงต่อราคายาง เพราะอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพารามาก ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี กำลังซื้อรถยนต์ต่ำลงส่งผลให้ความต้องการยางพาราในตลาดโลกลดลงมาก

“ขณะนี้มาเลเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่เริ่มลดพื้นที่เพาะปลูกลง ขณะที่ไทยจะต้องทำทั้งลดพื้นที่ปลูกอย่างน้อย 30% ซึ่งจะทำให้ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศสมดุลกับการผลิตมากขึ้น ช่วยยกระดับราคาขึ้นได้ รวมทั้งพัฒนาสายพันธุ์ยางพาราเพื่อให้ผลผลิตต่อไร่มากขึ้น” นายกฤษฎากล่าว

นายกฤษฎากล่าวว่า เมื่อลดพื้นที่ปลูกแล้วต้องสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกันจำเป็นต้องส่งเสริมการรวมตัวของเกษตรกรในการปลูกยางพาราเพื่อให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้และมีกำลังต่อรองราคาขาย นอกจากนี้ยังควรมีการรวบรวบข้อมูลเกี่ยวกับยางพาราทั้งระบบเพื่อให้วิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางปฏิบัติได้ รวมทั้งส่งเสริมให้นำผลงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์ สำหรับสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน คือต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น โดยจะเริ่มจากหน่วยงานภาครัฐ แล้วเร่งขยายไปในภาคเอกชน

 

ที่มา : มติชนออนไลน์