BOI หนีหลุดเป้าเจ็ดแสนล้าน ออกโกลด์แพ็กเกจกระตุ้นลงทุน

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รายงานตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมฯในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2561) ปรากฏว่ามีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมฯทั้งหมด 1,125 โครงการ เงินลงทุนรวม 377,054 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 (มกราคม-กันยายน 2560 จำนวนโครงการ 1,021 โครงการ) ขณะที่เงินลงทุนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 373,908 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3,146 ล้านบาท

แต่มูลค่าเงินลงทุนจากคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว กลับสร้างความกังวลให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียงเดือนกว่า ๆ ก็จะสิ้นสุดปี 2561 แล้ว ในขณะที่ เป้าหมายส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ถูกตั้งไว้ที่ 720,000 ล้านบาท หรือเท่ากับยังห่างเป้าอยู่ถึง 342,946 ล้านบาท ดังนั้น การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าวหมายความว่า ในอีก 3 เดือนสุดท้ายของไตรมาสนี้จะต้องมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาเฉลี่ยเดือนละ 114,315 ล้านบาท “ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก”

 

หวั่นไปไม่ถึง 720,000 ล.

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เองดูเหมือนจะทราบดีถึงความยากลำบากที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น “เรายังพยายามที่จะให้ได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ 720,000 ล้านบาท หากจะไม่ถึงเป้าอย่างน้อยเราก็ได้อุตสาหกรรมที่ต้องการและเห็นนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศ” แต่ก็ยังมีความหวังว่าในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีจะเป็นช่วงที่หลาย ๆ บริษัทยื่นโครงการเข้ามาขอรับการส่งเสริมฯ อย่างช่วงเดือนธันวาคม 2560 ก็มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามากว่า 200,000 ล้านบาท “เราหวังให้เป็นเช่นนั้นจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลาย ๆ มาตรการจะหมดอายุลงในช่วงปลายปี 2561 อาทิ มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า” น.ส.ดวงใจกล่าว

ทั้งนี้ เป้าหมายส่งเสริมการลงทุนปี 2561 ถูกกำหนดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยคิดจากพื้นฐานที่ว่าเป้าหมายส่งเสริมการลงทุนปี 2560 BOI สามารถทำยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน ณ สิ้นปี 2560 ได้ถึง 641,978 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% จำนวนทั้งหมด 1,456 โครงการ หรือ “สูงกว่า” เป้าหมายที่ตั้งไว้ 600,000 ล้านบาทหลังปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายตัวโดยเฉพาะในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 388 โครงการ มูลค่า 296,889 ล้านบาท

ดังนั้น การกำหนดตัวเลขเป้าหมายขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2561 ไว้ที่มูลค่า 720,000 ล้านบาท หรือขยายตัว 12% (จากเป้า 600,000 ล้านบาทของปี 2560) “จึงอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้โดย BOI จะเน้นไปที่โครงการ S-curve จะมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ออกมาเพิ่มเติม และโครงการด้านเกษตรและท่องเที่ยวตามที่รัฐบาลมอบหมาย”

ลงทุนกระจุกตัว EEC

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาย้อนกลับไปถึงตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2561) จะพบว่ามีมูลค่า 284,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เท่ากับในอีก 3 เดือนต่อมามีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นแค่ 92,454 ล้านบาทเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า คำขอรับการส่งเสริมการลงทุน “ชะลอ” ตัวลงหลังผ่านพ้นช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 และหากจะพิจารณาเฉพาะคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปรากฏว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 มีขอคำส่งเสริมการลงทุนเข้ามาคิดเป็นมูลค่า 183,230 ล้านบาท หรือขยายตัวสูงถึง 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560

แต่ในอีก 3 เดือนต่อมาในพื้นที่ EEC กลับมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนคิดเป็นมูลค่า 230,554 ล้านบาท (มกราคม-กันยายน 2561) หรือมีการลงทุนเพิ่มขึ้นแค่ 47,324 ล้านบาทเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC ในช่วงครึ่งปีหลัง “น่าจะต้องเพิ่มขึ้น” จากปัจจัยบวกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุนของ BOI ในอุตสาหกรรม S-curve ตลอดจนการบังคับใช้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่เชื่อกันว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนใน EEC ได้

นอกจากนี้ ยังพบความ “ไม่สมดุล” ระหว่างการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด (ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง) กับพื้นที่นอกเขต EEC ทั้งประเทศ จากตัวเลข 9 เดือนแรกแสดงให้เห็นว่า แม้การลงทุนในพื้นที่ EEC จะไม่เพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ แต่เงินลงทุนตามคำขอกลับ “กระจุกตัว” อยู่แค่ 3 จังหวัด กล่าวคือ 230,554 ล้านบาทเท่ากับอีก 74 จังหวัดที่เหลือทั่วประเทศมีเงินลงทุนเข้ามาแค่ 146,500 ล้านบาทเท่านั้น

กระตุ้นลงทุนโค้งสุดท้าย

จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏข้างต้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะต้องสั่งการให้ BOI เร่งออก “มาตรการพิเศษ” หรือ “Gold Package” เข้ามาเพื่อ “กระตุ้น” การลงทุนจากต่างประเทศ ด้านหนึ่งตั้งความหวังไว้ว่า มาตรการพิเศษครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ได้ ถึงแม้จะไม่ถึงเป้า 720,000 ล้านบาท “แต่ให้ใกล้เคียงที่สุดก็ยังดี”

อีกด้านหนึ่งก็ยังหวังไว้ว่า มาตรการพิเศษซึ่งจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้”ใกล้เคียง” กับโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC จะช่วยเร่งการลงทุนให้เกิดขึ้นในอีก 74 จังหวัดที่เหลือได้ ซึ่งดีกว่าจะปล่อยให้เกิดการกระจุกตัวของเงินลงทุนเฉพาะพื้นที่ EEC แบบที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งยังถือเป็นการอุดช่องโหว่จากความ “ล้มเหลว” ในนโยบายดึงดูดการลงทุนจากเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ ตาก, สระแก้ว, ตราด, สงขลา, มุกดาหาร, หนองคาย, นราธิวาส, เชียงราย, นครพนม และกาญจนบุรี ที่เต็มไปด้วย “ความเงียบ” อยู่ในขณะนี้

…………………………

ใครได้ประโยชน์ จาก Gold Package

มาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมฯภายในปี 2562 หรือ Gold Package จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ไปจนถึงสิ้นปี 2562 โดย BOI จะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ได้แก่ การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี โดยต้องเป็นโครงการที่มีเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ในทุกประเภทกิจการ (ยกเว้นกิจการที่ไม่มีสถานที่ตั้งประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ-กิจการขนส่งทางเรือ) ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ “ยกเว้น” ภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 8 ปี ตั้งสถานประกอบการได้ในทุกพื้นที่ทุกจังหวัด “ยกเว้น” กรุงเทพมหานคร และโครงการนั้น ๆ จะต้องมีการดำเนินการตามกำหนดเวลาทุกขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแล้วจะพบว่า มีประเภทกิจการเพียง 2 กลุ่มที่แบ่งตามสิทธิประโยชน์พื้นฐานตามประเภทกิจการ (activity-based incentives) เท่านั้น คือ กลุ่ม A2 (ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี) โครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศ กิจการที่ใช้เทคโนโลยีสูง กิจการด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญที่มีการลงทุนในประเทศน้อยหรือยังไม่มี กับกลุ่ม A3 (ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี) กิจการที่ใช้เทคโนโลยีสูงที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศโดยมีฐานการผลิตอยู่บ้างแล้วที่สามารถใช้ประโยชน์จาก Gold Package ได้มากที่สุด ในขณะที่กลุ่ม A1 ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี โดยไม่จำกัดวงเงินอยู่แล้ว