อุตฯกระดาษสิ่งพิมพ์คึกคัก รับอานิสงส์เลือกตั้ง’62-ช็อปช่วยชาติ

ลุ้นยอดพุ่ง - ปี 2562 ธุรกิจกระดาษและสื่อสิ่งพิมพ์ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกการเลือกตั้งครั้งใหม่ และมาตรการช็อปช่วยชาติซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2561-16 ม.ค. 2562 ซึ่งจะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจกลุ่มนี้มีโอกาสจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

เลือกตั้ง-ช็อปช่วยชาติ ดันกระดาษสิ่งพิมพ์คึกคัก คาดยอดพุ่ง 10% ในช่วง 3 เดือน ส่วนภาพรวมรัฐบาลจีนสั่งคุมมลพิษปิดโรงงานกระดาษ ด้านยุโรปวิกฤตสิ่งพิมพ์สั่งควบรวมกิจการ ส่งผลทำ supply หายกลับดันราคาพุ่งแตะ 35-38 บาท/กก.

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือน ก.พ. 2562 จะส่งผลให้อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ได้รับอานิสงส์ในช่วงระยะ 2-3 เดือนนับจากนี้ จากการที่ทุกพรรคต้องทำการประชาสัมพันธ์เพื่อแนะนำสมาชิกของพรรค ซึ่งจะทำให้มีการใช้สิ่งพิมพ์ บิลบอร์ด ใบแจกหมายเลขพรรคเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็สามารถทำให้การพิมพ์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เราจะเห็นได้จากการมีจำนวนพรรคการเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งพรรคใหม่และพรรคเก่า รวมถึงพรรคเดิมที่แตกออกมาหลายพรรคการเมืองรวมตัวกัน มีจำนวนพรรคที่หลากหลายมาก และเราก็จะเห็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ๆ ที่มีสิทธิเลือกตั้ง ด้วยประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งมาถึง 4 ปี ดังนั้น สำหรับประชาชนกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือบางคนอาจจะเป็นครั้งแรกของการเลือกตั้งเลยก็ว่าได้ จำนวนมากที่มักจะคึกคักและทุกพรรคจึงต้องทุ่มงบฯในการใช้สื่อเพื่อให้คนรู้จักแน่นอน”

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในการใช้งบประมาณในการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากการใช้งบฯในการจัดทำเป็นโปสเตอร์ลดลงจำนวนมาก หากเทียบกับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

จากการเลือกตั้ง 1-2 ครั้งที่ผ่านมาของไทย ส่วนการประชาสัมพันธ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้มุ่งไปสู่การใช้โซเชียลมีเดีย ออนไลน์ในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อเข้าหาคนรุ่นใหม่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังช่วยให้อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์คึกคักแม้ว่าอาจจะไม่มากเท่าในอดีต

ทั้งนี้ แม้การใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในช่วงการเลือกตั้งจะคึกคัก แต่กลับไม่ได้มีผลต่อราคากระดาษที่ใช้กันในประเทศ เนื่องด้วยราคากระดาษปัจจุบันเป็นไปตามตลาดโลก โดยขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงขาขึ้นของกระดาษ โดยปัจจุบันราคาอยู่ที่ 35-38 บาท/กก. ปรับขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากอุปทาน (supply) หรือความต้องการขายสินค้าและบริการหายไป

จากกรณีที่เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางรัฐบาลจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ได้เพิ่มความเข้มงวดกับโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโรงงานกระดาษที่จะถูกคุมเข้มในเรื่องของสิ่งแวดล้อม มลพิษที่ก่อให้เกิดในสังคม การบำบัดน้ำเสียต่าง ๆ การบังคับให้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อควบคุมเรื่องของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง บวกกับสถานการณ์ในยุโรปก็มีการใช้กระดาษลดลงเช่นเดียวกันจึงเกิดการควบรวมโรงงานกระดาษเข้าด้วยกัน ส่งผลทำให้หลายโรงงานต้องปิดตัว นายเกรียงไกรกล่าวว่า ปัจจุบันไทยสามารถผลิตกระดาษได้เองแต่มีสัดส่วนการนำเข้าจากต่างประเทศประมาณ 30-40% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีนและอินโดนีเซียประมาณ 10% ที่เหลือนำเข้าจากหลาย ๆ ประเทศรวมถึงยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเศษกระดาษนำมารีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นกระดาษคราฟต์ หรือกระดาษลังบรรจุของต่าง ๆ

“สรุปได้ว่าในช่วงก่อนเลือกตั้ง 2-3 เดือน จะมีการใช้ปริมาณกระดาษเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วแน่นอน ส่วนเมื่อเดือนที่ผ่านมาโรงงานไทยพัฒนาซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระดาษและถูกไฟไหม้จนเสียหายมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาทนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อปริมาณกระดาษที่จะหายไปในประเทศ เนื่องจากเป็นโรงงานที่รีไซเคิลกระดาษเท่านั้น”

นางสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้จะมีผลต่อธุรกิจโรงพิมพ์ ป้าย และแผ่นพับจำนวนมาก แต่อาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับธุรกิจหนังสือเท่าไรนัก แต่ขณะเดียวกัน มาตรการช็อปช่วยชาติสนับสนุนให้ซื้อหนังสือก็มีผลทำให้ปริมาณการพิมพ์เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าการใช้กระดาษก็เพิ่มเช่นกัน มันคือมาตรการที่ทำให้คนเข้าถึงง่ายและมีส่วนส่งเสริมให้คนซื้อหนังสือเข้าถึงการอ่าน

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลน่าจะใช้เวลากว่า 6 เดือนถึงจะเห็นนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าหลายธุรกิจจะมีการพิจารณาตัดสินใจลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ไว้ว่า สำหรับในปี 2561 ที่ผ่านมาปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ อาทิ การแข่งขันฟุตบอลโลกช่วงกลางปี รวมถึงการเลือกตั้งในแต่ละระดับที่เริ่มทยอยเกิดขึ้น อาทิ การเลือกตั้งท้องถิ่น และการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงต้นปี 2562 ทำให้การวางแผนใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในช่วงครึ่งปีหลังมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่การเติบโตของธุรกิจ e-Commerce ก็ช่วยสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กระดาษให้เติบโตเช่นกัน

สำหรับแนวโน้มและการปรับตัวในอนาคตท่ามกลางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทําให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยเฉพาะการหาหนทางปรับลดต้นทุนการผลิต ภายใต้สภาพการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น อาทิ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่ทันสมัย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ลดขนาดคำสั่งซื้อลง

ขณะเดียวกัน ทั้งผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์รวมถึงผู้สั่งซื้อ ควรมีการวิเคราะห์และวางแผนร่วมกัน เพื่อให้การผลิตสามารถตอบสนองการใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!