เอกชน-นักวิชาการ ขานรับกฤษฎีกาเลือกตั้งของรัฐบาล ชี้เป็นปัจจัยสนับสนุนศก.ไทยโตในกรอบ 4-4.5%

เอกชน-นักวิชาการ ขานรับกฤษฎีกาเลือกตั้งของรัฐบาล ชี้เป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยโตในกรอบ 4-4.5% ขณะที่ช่วงกิจกรรมหาเสียงคาดมีเงินสะพัดถึง 5 หมื่นล้านบาท มีผลต่อจีดีพีได้ 0.3%

นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นับเป็นสัญญาณที่ดีที่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคเอกชน นักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศก่อให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะทำให้โครงการมีการเดินหน้าอย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังจะส่งผลเอกชนมองเห็นนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคการเมือง ได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลบวกและปัจจัยเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศในอนาคตฝนการตัดสินใจลงทุน การทำธุรกิจได้

นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศของไทยมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่สำคัญๆ อาจจะส่งสัญญาณด้านการเจรจาการค้ามากขึ้น อย่างไรก็ดี สิ่งที่ภาคเอกชน ผู้ประกอบการคาดหวังสำหรับการเลือกตั้งและรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาประเทศ สิ่งที่ต้องการคือเข้ามาดูแลและลดข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจ และแก้ไขข้อกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการค้า การทำธุรกิจให้สะดวกมากขึ้น เพราะคู่แข่งหรือประเทศใกล้เคียงได้ลดข้อจำกัดเหล่านี้ และทำให้ประเทศเป็นที่สนใจต่อการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยควรจะใช้โอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ในอนาคต

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกาฯ เชื่อว่าจะทำให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจว่าประเทศไทยได้เดินหน้าตามโรดแมปที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเชื่อมั่น ต่อการลงทุน และส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ให้กับตลาดทุน และการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คาดว่ากระบวนการกำหนดวันเลือกตั้ง ภายใน 150 วันนับจากนี้ หรืออีกประมาณ 3-5 เดือนข้างหน้า จะมีกรอบระยะเวลาในการเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งนั้นจะมีผลต่อกรอบระยะเวลาการหาเสียงและนโยบายของพรรคการเมือง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะส่งผลต่อบรรยากาศเศรษฐกิจในประเทศเกิดความคึกคัก เกิดกิจกรรมทางการเมือง โดยจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจจากกิจกรรมหาเสียง คาดว่าประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท และจะส่งผลกระตุ้น จีดีพี ของประเทศขยายตัวได้ประมาณ 0.3%

“จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก เมื่อมีนโยบายที่ชัดเจนทั้งไทยและต่างประเทศจะมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเมื่อได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น ดังนั้นมหาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวในกรอบ 4-4.5% ภายใต้สมมุติฐายคือ ไม่ได้ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก”

อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ว่าโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะขยายตัว 4.2% ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะทุกพรรคการเมืองต้องการฐานคะแนนเสียงเพราะจะมีผลต่อการกำหนดทิศทางการเมืองในอนาคต ซึ่งสิ่งที่พรรคการเมืองจะนำเสนอคาดว่าจะมี 2 เรื่อง คือ นโยบายที่จับต้องได้ ไม่เป็นประชานิยม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ขณะที่ จากการหาเสียงของแต่ละพรรคตามพื้นที่ต่างๆจะทำให้รับทราบถึงปัญหาและสามารถแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น