กลุ่ม ปตท.กำไร 119,684 ล้านบาท ลดลง 11.5%

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ปรากฏมีรายได้จากการขาย จำนวน 2,336,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 340,433 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.1 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 119,684 ล้านบาท ลดลง 15,496 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.5 จากกำไรสุทธิปี 2560 ที่จำนวน 135,180 ล้านบาท โดยราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น

ตามราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นจาก 53.2 เหรียญ/บาร์เรล ในปี 2560 เป็น 69.4 เหรียญ/บาร์เรล หรือคิดเป็นร้อยละ 30.53 และจากราคาปิโตรเคมีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น

ผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมปรับเพิ่มขึ้นจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น มีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าและสินทรัพย์ของโครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ จำนวน 18,505 ล้านบาท ด้านกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ยกเว้น NGV ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลงตามกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชีที่ลดลงจากการขาดทุน

สต๊อกน้ำมัน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงมากในไตรมาสที่ 4/2561 ในขณะที่ในปี 2560 มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์-สายโอเลฟินส์มีผลการดำเนินงานลดลงตามส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

ด้าน นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนลงทุนระหว่างปี 2562-2566 วงเงิน 167,114 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น 100% จำนวน 66,525 ล้านบาท, ท่าเรือรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 34,680 ล้านบาท, ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 27,527 ล้านบาท โดยปี 2566 ปตท.จะมีคลังสำรองรับเพิ่มขึ้นถึง 19 ล้านตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 11.5 ล้านตัน เพื่อรองรับความต้องการคาดการณ์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในอนาคต และยังมีแผนลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) วงเงินรวม 264,226 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังเตรียมงบฯลงทุนเพิ่มเติมอีก 187,616 ล้านบาท เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีอนาคต อาทิ เมืองอัจฉริยะ

“กำไรจากการดำเนินงานคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.15 บาท ซึ่งคณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล 2 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และกองทุนวายุภักษ์ จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 36,258 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครืออีกประมาณ 45,962 ล้านบาท รวมเป็นรายได้นำส่งรัฐประมาณ 82,220 ล้านบาท คิดเป็นรายได้นำส่งเข้ารัฐสะสมตั้งแต่ปี 2544-2561 ประมาณ 880,000 ล้านบาท” นายชาญศิลป์กล่าว