บ้านปูฯ โกย EBITDA 1,178 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 22% สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากรายได้จากการขายโตตามเป้า 3,481 ล้านเหรียญสหรัฐ

บ้านปูฯ โกย EBITDA 1,178 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 22% สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากรายได้จากการขายโตตามเป้า 3,481 ล้านเหรียญสหรัฐ เตรียมอัดงบลงทุน 835 ล้านเหรียญสหรัฐปี’62-63 เพิ่มความแข็งแกร่งในระบบนิเวศทางธุรกิจ ผนึก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก เดินหน้าสู่ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรเดินหน้ากลยุทธ์ Greener & Smarter

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 2561 บ้านปูฯ มีรายได้จากการขายรวม 3,481 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 112,474 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 604 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,516 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 21 โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการถ่านหินที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ปริมาณการขายถ่านหินและราคาถ่านหินที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในรวม 1,178 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,062 ล้านบาท) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ขณะที่กำไรสุทธิจำนวน 205 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,624 ล้านบาท) ซึ่งปรับลดลงร้อยละ 12 จากปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิที่ปรับลดลงเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ บันทึกขาดทุนจากอนุพันธ์ทางการเงิน โดยส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนจากการขายถ่านหินล่วงหน้า เนื่องจากราคาถ่านหินในตลาดโลกปรับสูงขึ้น และบันทึกค่าใช้จ่ายจากกรณีหงสาซึ่งเป็นที่ยุติเรียบร้อยแล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2561 รายได้หลักมาจาก กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) โดยเฉพาะการขายถ่านหินรวม 43.1 ล้านตัน ในขณะที่มีปริมาณการขายก๊าซอยู่ที่ 70.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในปี 2561 มีรายได้จากการขายรวม 3,286 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 106,173 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.26 จากปีก่อนหน้า โดยแบ่งออกเป็น รายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 2,998 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 96,867 ล้านบาท) รายได้จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจำนวน 144 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,653 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจำนวน 107 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,457 ล้านบาท) จากปริมาณการผลิตและขายก๊าซที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และรายได้อื่น ๆ จำนวน 144 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,653 ล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจค้าถ่านหินและจากธุรกิจซื้อขายน้ำมันของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดย EBITDA ของกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานในปี 2561 นี้คือ 996 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,181 ล้านบาท)

ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) กำลังผลิตรวมอยู่ที่ 2.87 กิกะวัตต์เทียบเท่า และมีสัดส่วนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ร้อยละ 16 จากการลงทุนทั้งหมด มีรายได้จากการขายรวมจากธุรกิจ ไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่น ๆ จำนวน 196 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,332 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 จากปีก่อนหน้า เป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้จากปริมาณการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ดำเนินการผลิตตลอดทั้งปี และจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซิงหยู (Xingyu) โครงการใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในช่วงปลายปี ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรที่ดีจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และหงสา ส่งผลให้ธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาสนี้มี EBITDA 182 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,881 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.95 เมื่อเทียบกับปีก่อน

และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology)ในปี 2561 มีกำลังผลิตรวมจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอยู่ที่ 151 เมกะวัตต์ มีกำลังการผลิตรวมจากแบตเตอร์รีลิเธียมอิออน 80 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง รวมทั้งล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเงินลงทุน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 646 ล้านบาท)

นางสมฤดีกล่าวว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งหน่วยงาน Banpu Innovation & Ventures (BIV) เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี ผ่านการวิจัย พัฒนา และสนับสนุนให้เกิดความคิดเพื่อพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับรูปแบบการใช้พลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้กลุ่มธุรกิจนี้ยังไม่ได้สร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่เราเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจบ้านปูในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจตามหลัก Our Way in Energy

“บ้านปูฯ ให้ความสำคัญกับพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจทั่วทั้งองค์กร เพราะเราเชื่อมั่นว่าการที่ธุรกิจของบริษัทฯ จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อประโยชน์และส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม”

สำหรับแผนการลงทุนในช่วงปี 2562-2563 บริษัทเตรียมแผนลงทุนรวม 835 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ่านหิน 110 ล้านเหรียญสหรัฐ สมาร์ทเอ็นเนอร์ยี่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โรงไฟฟ้าหลัก conventional 60 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเริ่มลงทุนในปีนี้รวม 225 ล้านเหรียญสหรัฐในธุรกิจถ่านหินและโรงไฟฟ้า

สำหรับแหล่งเงินจากการลงทุนได้เตรียมไว้แล้ว และอาจจะมีการระดมทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น การออกบอร์น ซึ่งกำไร EBITDA ซึ่งมีอยู่เกือบ 1,200 ล้านเหรียญจะถูกแบ่งไปเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำไปชำระหนี้สินกับสถาบันการเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่เหลือจะนำไปลงทุน ทั้งนี้ บริษัทจะพยายามรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไว้ที่ 1:1

“เป้าหมายการลงทุนทั้งหมดจะทำให้สัดส่วน EBITDA ของบ้านปู ปี 2020 เปลี่ยนไปจากปัจจุบันโดยสัดส่วนถ่านหินจะลดลงจาก75% เหลือ 60% ในปี 2020 และเหลือ 45% ในปี 2025 รองลงมา คือ โรงไฟฟ้าคอนเวนชั่นนอลจาก 20% จะเพิ่มเป็น 30% ในปี 2025 ขณะที่ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจะทอยเพิ่มจาก 5% เป็น 10% ในปี2020 และเป็น 15% ในปี 2025 ส่วนแหล่งก๊าซเพิ่มจาก 8% เป็น12% ในปี 2020 และ 10% ในปี 2025 ส่วน EBITDA จากธุรกิจใหม่ปัจจุบันยังไม่มีนัยยะสำคัญแต่อนาคตปี 2025 จะเพิ่มเป็น 5% “

ทั้งนี้ ปัจจุบันบ้านปูฯ เป็น “บริษัทพลังงานแบบครบวงจร” ใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter และใช้จุดแข็งจากความสามารถในการผนึกกำลังระหว่างกัน (Stronger Integration) ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักมาช่วยในการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของผู้บริโภค ชุมชนและสังคม ได้อย่างยั่งยืน