สถาบันอัญมณีฯ เผยยอดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ม.ค.62 มีมูลค่า 807.45 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.56%

สถาบันอัญมณีฯ เผยยอดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับเดือน ม.ค.62 มีมูลค่า 807.45 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.56% เหตุได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แนะผู้ส่งออกเพิ่มช่องทางออนไลน์ และผลิตสินค้าตามเทรนด์โลก เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออก

นางดวงกมล เจียมบุตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือจีไอที เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเดือน ม.ค.2562 มีมูลค่า 807.45 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.56% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 26,191.12 ล้านบาท ลดลง 16.62% แต่หากหักทองคำ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความผันผวนออก การส่งออกมีมูลค่า 504.74 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.50% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 16,372.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.42%

“การส่งออกที่ลดลง มาจากการส่งออกทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป ซึ่งมีสัดส่วนถึง 37.49% ของการส่งออกทั้งหมด มีมูลค่าลดลงถึง 36.94% จึงเป็นตัวฉุดสำคัญที่ทำให้ยอดส่งออกเดือน ม.ค.2562 ปรับตัวลดลง และยังมีการลดลงของสินค้าเครื่องประดับแท้และเพชร ที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับที่ 2 และ 4 ที่ส่งออกลดลงเล็กน้อย 1.92% และ 1.13% แต่ถ้าไม่รวมทองคำ คิดเฉพาะเครื่องประดับอย่างเดียว การส่งออกเพิ่มขึ้น โดยสินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น พลอยสี เพิ่ม 25.62% เครื่องประดับเทียม เพิ่ม 5.23% เป็นต้น”

สำหรับตลาดส่งออกที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด ได้แก่ สหภาพยุโรป ได้กลับมาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในตลาดอียู โดยเพิ่มขึ้น 16.38% สหรัฐฯ เพิ่ม 1.11% ตะวันออกกลาง เพิ่ม 20.13% เพราะกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ญี่ปุ่น เพิ่ม 2.77% อาเซียน เพิ่ม 23.03% และประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก เพิ่ม 1.33% ส่วนฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นตลาดอันดับ 1 ลดลง 9.74% อินเดีย ลด 19.78% จีน ลด 16.93% รัสเซียและประเทศเครือรัฐเอกราช ลด 81.08% โดยฮ่องกและจีนที่ลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เป็นปัจจัยกดดันทำให้ลดการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็นลดลง ส่วนรัสเซียได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในทะเลดำ ทำให้คนลดการบริโภคลง

แนวโน้มการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในเดือนต่อๆ ไป คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี เพราะคู่ค้าหลายประเทศยังมีความต้องการบริโภค แต่ก็ต้องจับตาปัจจัยที่จะกระทบต่อการส่งออก ทั้งเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า หากเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะส่งผลดีต่อการส่งออก แต่หากแย่ลง ก็จะส่งผลกระทบ รวมถึงเหตุจลาจลในบางประเทศในยุโรป ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน ที่จะเป็นแรงกดดันต่อการบริโภคอัญมณีและเครื่องประดับ

ทั้งนี้ แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาสส่งออกในหลายๆ ตลาด ซึ่งผู้ส่งออกจะต้องศึกษาและหาโอกาสเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะตลาดที่มีแนวโน้มเติมโตดี ได้แก่ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น กาตาร์ และโอมาน อาเซียน เช่น กัมพูชา ลาว บรูไน และควรเพิ่มช่องทางการขายผ่านทางออนไลน์ให้มากขึ้น และประชาสัมพันธ์สินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ Facebook, Twitter, LinkedIn ซึ่งได้รับการยอมรับในวงกว้างว่าเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงศึกษารูปแบบสินค้าที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ


นอกจากนี้ จะต้องศึกษาแนวโน้มของสินค้า โดยสินค้าที่มาแรงในปี 2562 เช่น เครื่องประดับแบบซ้อนเลเยอร์ และชาร์มที่ใส่สัญลักษณ์หรือตัวอักษรลงบนชิ้นงานได้ ส่วนสีประจำปีนี้ตามประกาศของ Pantone คือ Living Coral ซึ่งผสมผสานสีส้ม สีชมพู และสีแดง ผู้ประกอบการจึงอาจจัดหาสินค้าที่มีรูปแบบหรือสีสันตามเทรนด์ดังกล่าวเพื่อจำหน่ายในตลาดต่อไป