ECO EV เกิดยาก! 4ค่ายรถเมินลงทุนอ้างขอเวลาศึกษาก่อน 1 ปี

นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยภายหลังหารือค่ายรถยนต์เกี่ยวกับการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด (อีโค อีวี :ECO EV) ว่าเบื้องต้นมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 3 รายตอบรับและเข้าร่วมหารือเพื่อรับฟังข้อเสนอรวมถึงแนวทางส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าระยะแรก ได้แก่ โตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน จากที่ได้เชิญผู้ผลิตเข้าหารือทั้งสิ้น 4 ราย แต่ตรีเพชรอีซูซุผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถปิกอัพไม่ได้เข้าร่วม 1 ราย ประกอบกับการหารือผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทุกรายแบบรายบริษัทหลายครั้งก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าขณะนี้ยังไม่พร้อมที่จะลงทุนผลิตรถยนต์อีโค อีวี

โดยผู้ผลิตมีข้อท้วงติงว่าปัจจุบันคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนหลักและลดหย่อนภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) อยู่แล้ว อีกทั้งหากรัฐจะมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนอีโค อีวี สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด(PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่(BEV) ในภาวะที่ตลาดยังไม่ได้มีความต้องการมากนัก อาจยังไม่จูงใจให้เกิดการลงทุน เพราะไทยก็ยังไม่มีความพร้อมเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้ามารองรับด้วย

“ค่ายรถยนต์เห็นว่าขณะนี้ยังไม่ควรเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอีโค อีวี เพราะมีมาตรการภาษีส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่ดีอยู่แล้ว จึงควรรอให้มาตรการดังกล่าวสิ้นสุดลงก่อนในปี 2568 เพราะไม่ต้องลงทุนสูงในการผลิตชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ไฟฟ้า 4-6 ชิ้นในประเทศภายใน 3 ปี ตามเงื่อนไขของ สศอ. ซึ่งระหว่างนี้ค่ายรถยนต์ขอกลับไปศึกษาความพร้อมและแนวทางการลงทุนก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกันอีกครั้งหลังจากนี้อีก 1 ปี”

ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าผู้ผลิตรถยนต์ 91.8% ของรถยนต์ที่ทุกบริษัทเสนอขอรับการสนับสนุนไม่มีการลงทุนในชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเลย โดยเป็นการประกอบขั้นปลายสุด คือ ประกอบตัวถังและทดสอบแบตเตอรี่ แต่รถยนต์ทุกคันที่ทุกบริษัทเสนอขอรับการสนับสนุนมีราคาสูง 1-6 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนผู้ใช้รถยนต์ส่วนใหญ่จะเข้าถึงได้ ซึ่งมองว่าย่อมไม่สามารถจำหน่ายได้อย่างแพร่หลายหรือมีขนาดการผลิตที่เพียงพอสำหรับการลงทุนผลิตชิ้นส่วนในประเทศ

นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ 79.8% ของรถยนต์ทุกคันเป็นการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่ไม่สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ จึงไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าที่จำเป็นต่อการพัฒนาไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีจากการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดในระยะแรก

นายณัฐพล กล่าวว่า นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาถูกที่ประมาณ 500,00-600,000 บาทแล้ว ยังช่วยให้เกิดการลงทุนผลิตชิ้นส่วนหลัก เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ ระบบควบคุมการขับขี่ ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เกิดการพัฒนาโครงข่ายการพัฒนาไฟฟ้า ช่วยพัฒนาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต

อย่างไรก็ตาม สศอ.จะจัดทำข้อสรุปแนวทาง/ความคิดเห็น/ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่างๆ รายงานให้กระทรวงอุตสาหกรรมทราบ เพื่อพิจารณาตัดสินใจว่าประเทศไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะเดินออกจากข้อติดขัดของการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าต่อไปหรือไม่อย่างไร