สศช.แจงนักลงทุนต่างชาติพ้นปี’60 ไปเศรษฐกิจไทยโตปีละ 5%

ดร.ปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถา หัวข้อ “ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศไทย (Thailand 20 Year Strategic Plan and Reforms)” ในงาน Thailand Focus 2017: Establishing the New Engine ว่า ในระยะที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ขยายตัวและเจริญเติบโตเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากในช่วงปี 2557 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้อัตราการเติบโตของ GDP ชะงักอยู่ที่ 0.8% แต่หลังจากนั้นอัตราการเติบโตของ GDP ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.9% ในปี 2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.2% ในปี 2559 ที่ผ่านมา และอัตราการเติบโตล่าสุดในปี 2560 ที่ประมาณการไว้คือ 3.7% ซึ่งถือเป็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดี
 
นอกจากนี้ การส่งออกของภาคเกษตรกรรมยังมีการขยายตัวอยู่ที่ 15% ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับในระยะก่อนหน้าที่อัตราการส่งออกติดลบ และเพิ่งขยายตัวเป็น 8% เมื่อไตรมาสที่สองที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการบริโภคภาคเอกชนได้เพิ่มขึ้นถึง 3% และอัตราการลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้ สศช. คาดการณ์ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างมั่นคงกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้คาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ไว้ที่ 3.5–4% ในปีนี้ และ 5% ปีต่อ ๆ ไป
 
ดร.ปรเมธี กล่าวว่า การคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5% นั้นเป็นเพราะว่าแม้ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยจนทำให้เกิดการชะงักงันทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจและการค้าของประเทศไทยได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแสดงให้เห็นถึงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจ ซึ่งรัฐบาลได้วางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และได้นำวางแผนยุทธศาสตร์ชาตินี้ไปเป็นรากฐานหนึ่งของรัฐธรรมนูญ และมีคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และรัฐบาลได้มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้วางเป้าหมายและกรอบการทำงานระยะยาวให้กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยที่เป้าหมายและกรอบการทำงานได้อธิบายถึงโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทยต้องประสบทั้งภายในและภายนอก
 
โดยความท้าทายภายนอกได้แก่ การพัฒนาทางเทคโนโลยี ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามทางความมั่นคง โดยเฉพาะอาชญากรรมในโลกออนไลน์ และความท้าทายภายใน ได้แก่ แนวโน้มทางประชากรของไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากประมาณ 20% ของประชากรกำลังเข้าสู่วัยสูงอายุและเพิ่มขึ้นเป็น 30% หลังการดำเนินยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประเทศไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทบทวนนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมให้สอดรับกับความท้าทายเหล่านี้
 
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนี้มี 6 ประเด็นหลักที่ สศช. มุ่งเน้นในการพัฒนา คือ 1) ความมั่นคง โดยเฉพาะความมั่นคงทางพลังงาน ความมั่นคงในโลกไซเบอร์ และความมั่นคงทางอาหาร 2) การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจ 3) ทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลได้เน้นย้ำถึงการวางแผนการออมหลังวัยเกษียณ และคุณภาพการศึกษา ซึ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เด็กไทยทำคะแนนสอบได้มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานของ PISA 4) การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 5) ปัญหาสิ่งแวดล้อม และภาวะโลกร้อน และ 6) การปฏิรูปประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในภาพรวมทั้งหมด
 
“ในด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีจะนำพาประเทศไทยเข้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายใน 20 ปีนี้ ซึ่ง สศช. ได้คาดการณ์การเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัวที่ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 6,500 ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 12 ปีนี้จะเป็นระยะ 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่ง SMEs และบริษัท Startup จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ดร.ปรเมธีกล่าว
 
นอกจากนี้ แม้ในขณะนี้ประเทศไทยจะยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเป็นจำนวน 1% ของ GDP แต่ค สศช.ได้เล็งเห็นว่าการวิจัยและพัฒนาจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก และนักวิจัยของไทยก็มีงานวิจัยที่จะเป็นประโยชน์ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะในด้านโรโบติกส์
 
“ที่ผ่านมา สศช.ได้มีส่วนร่วมกับทั้งคณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศทั้ง 11 คณะ และการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีไว้ในรัฐธรรมนูญจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลต่อ ๆ ไปนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงและลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ โดยที่ประชาชน กฎหมาย และนวัตกรรม จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนี้สำเร็จลุล่วงไปได้” ดร.ปรเมธีกล่าว