TDRI จับตาสูตรผสมนโยบายรัฐบาลใหม่ หวั่นใช้งบฯพุ่ง 5.9 แสนล้าน

TDRI แนะรัฐบาลผสมต้องมีสูตรผสมนโยบายที่ลงตัว เร่งหางบดำเนินการนโยบายศก. 5.9 แสนล้าน-แก้ปัญหารากหญ้า การทุจริต-เดินหน้าลงทุนตามแผน มั่นใจดันดีจีพีปี’62 โต 3.7%

รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผย”ประชาชาติธุรกิจ”ว่า จากการติดตามสถานการณ์การนับคะแนนเมื่อเวลา 19.40 น. มีโอกาสที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม 2 สูตร คือ 1) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้คะแนนเป็นอันดับสอง รวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพราะได้เสียงไม่เกิน 100 ที่นั่งตามที่ประกาศไว้ และรวมกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีคะแนนเป็นอันดับ 3 หรือ 2) พรรคเพื่อไทยซึ่งได้ที่นั่งประมาณ 130 ที่นั่ง รวมกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมี 70 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย และพรรคขนาดเล็ก

ยอมรับว่ามีโอกาสสูงที่ พปชร. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะต้องหา “สูตรผสมนโยบายที่ลงตัวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล” เพราะแต่ละพรรคที่รวมกันมีนโยบายที่ต่างกัน เฉพาะพปชร.ก็มีถึง 14-15 นโบบายแล้ว ซึ่งอาจจำเป็นต้องคงนโยบายหลัก เช่น อีอีซีเพื่อสร้างความมั่นใจนักลงทุน และตัดลดนโยบายบางส่วนที่หาเสียงไว้ทำให้อาจจะเป็นแค่ “นโยบายขายฝัน ” และต้องอธิบายกับประชาชนให้ได้ว่าจะนำงบประมาณมาจากไหน เพราะจากการคำนวณประมาณการใช้งบประมาณของแต่ละพรรคโดยศูนย์วิจัยธนาคารกรุงเทพ ชี้ชัดว่า พปชร.มีการใช้เงินดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงประมาณ 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับ 2 รองจากพรรคอนาคตใหม่

“หากเทียบจำนวนเงินที่จะใช้ 5.9 แสนล้านบาท มากว่าเงินงบประมาณด้านการลงทุนในแต่ละปีที่มีเพียง 4.2 แสนล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจะต้องหาเงินมาใช้เพิ่ม ซึ่งอาจจะมาจากการปรับขึ้นภาษี อาจจะเป็นภาษีแวต 3% ก็จะทำให้ได้เงินมาทันที 3.5 แสนล้านบาทแต่จะกระทบค่าครองชีพประชาชน หากไม่ขึ้นภาษีก็อาจจะใช้เงินกู้ ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะฐานเสียงฝั่งฝ่ายค้านที่มีเสียงที่มีเสถียรภาพมาก”

ประการที่ 2 รัฐบาลต้องมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อประชาชนฐานรากให้ได้ โดยไม่ใช่เพียงแจกเงินโดยไม่มีเหตุผล เพราะนโยบายหาเสียงของ พปชร. เน้นแจ้งเงินทั้งเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย เด็ก คนชราต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลนี้จะต้องหาทางสร้างอาชีพให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยแทนการจ่ายเงินอย่างเดียว

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องดูแลปัญหาการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มาจากคนละขั้วแต่ละกระทรวง เพื่อให้การดำเนินงานเดินหน้าต่อไปได้ไม่สะดุด ขณะเดียวกันผู้ที่จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นให้ได้ด้วย


“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2562 คาดว่าอัตราการขยายตัวของจีดีพีขยายตัวไม่ถึง 4% เพราะไทยมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว ขณะที่หลังจากการเลือกตั้งรัฐบาลต้องเดินนโยบายสำคัญๆ ต่อ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โครงการบางอันก็ประมูลเสร็จแล้ว บางอันก็ยังต้องเดินหน้าประมูลต่อ หากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายการลงทุนตามแผนเดิมมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ 3.7%”