มติที่ประชุมผู้ถือหุ้น “ซีพีเอฟ” อนุมัติปันผลรวมปี 61 หุ้นละ 0.65 บาท พร้อมแต่งตั้ง 5 ตำแหน่ง โดยมี ‘สุภกิต เจียรวนนท์’เป็นหนึ่งในกรรมการใหม่ มั่นใจปีนี้รายได้-กำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน รับอานิสงส์โรค AFS ระบาดในเอเชียดันราคาสุกรปรับขึ้น
นางกอบบุญ ศรีชัย เลขานุการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้มีการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 นั้น ที่ประชุมมีมติอนุมัติในหลายประเด็น โดยมีวาระสำคัญคือ การอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี 2561 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท และ การอนุมัติแต่งตั้งกรรมการ 5 ตำแหน่ง
โดยการอนุมัติเงินปันผลมีรายละเอียดดังนี้ บริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 จึงคงเหลือเงินปันผลจ่ายครั้งที่ 2 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาทในวันที่ 23 พฤษภาคม 2562
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
สำหรับการแต่งตั้งกรรมการนั้น เป็นการอนุมัติแต่งตั้ง นายชิงชัย โลหะวัฒนะกุล นายอดิเรก ศรีประทักษ์ นายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์ กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้กลับเข้าเป็นกรรมการอีกวาระหนึ่ง และแต่งตั้ง นายวินัย วิทวัสการเวช เป็นกรรมการอิสระแทน ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ และ นายสุภกิต เจียรวนนท์ (บุตรชาย ของนายธนินท์ เจียรวนนท์) เป็นกรรมการแทนนายมิน เธียรวร ซึ่งพ้นจากตำแหน่งกรรมการตามวาระ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติการรับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 การรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี 2561 การอนุมัติงบแสดงฐานะการเงินและบัญชีกำไรขาดทุน การอนุมัติค่าตอบแทนกรรมการประจำปี 2562 และการอนุมัติแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัท
ทางด้านนายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจแนวโน้มภาพรวมผลการดำเนินงานปี2562 นี้จะเติบโตดีกว่าปีก่อนหน้า จากราคาสุกรปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลจากปริมาณหมูทั่วโลกลดลง หลังเกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: AFS) ระบาดในเอเชีย ขณะที่ธุรกิจสัตว์น้ำในต่างประเทศมีแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีเช่นกัน
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีราคาสุกรได้ปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการนำเข้าหมูจากจีนเพิ่มขึ้น หลังปริมาณการผลิตในประเทศจีนไม่เพียงพอกับความต้องการจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร
“การระบาดของโรคนี้ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งมีการผลิตสุกรรวมกว่า 500 ล้านตัว เมื่อเกิดโรคระบาดดังกล่าวก็คาดว่าจะเกิดความเสียหายประมาณ 30% โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีการบริโภคสุกรเฉลี่ย 50% ของการบริโภคสุกรทั่วโลก หากปริมาณหมูหายไปกว่า 100 ล้านตัว ทำให้จะต้องมีการนำเข้าสุกรจากต่างประเทศรอบข้าง เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เป็นต้น ส่งผลให้ราคาสุกรในประเทศดังกล่าวเริ่มปรับตัวดีขึ้นด้วย”
นอกจากนี้ ยังส่งผลบวกต่อบริษัท HyLife Investments Ltd. (HIL) ประเทศแคนาดา ที่บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 50.1% เนื่องจากปกติประเทศจีน มีการนำเข้าสุกร 1-1.5 ล้านตันจากสหภาพยุโรปและอเมริกา จึงทำให้ราคาสุกรที่อยู่ในยุโรปและอเมริกาสูงขึ้นทันที อนึ่งบริษัท HyLife ดำเนินธุรกิจผลิตสุกรครบวงจร และส่งออกผลิตภัณฑ์หมูคิดเป็นสัดส่วน 91% ของรายได้รวม ไปยังกลุ่มประเทศญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐฯ และเม็กซิโก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ซีพีเอฟยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อมีธุรกิจอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปที่อยู่ในประเทศจีน เนื่องจากคู่ค้าของบริษัทเป็นฟาร์มที่มีมาตรฐานเป็นหลัก ขณะเดียวกันมั่นใจว่าการระบาดของโรค ASF จะไม่กระทบกับฟาร์มสุกรของบริษัทในประเทศไทย ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เพราะบริษัทมีการเตรียมตัวมาตรการป้องกันอย่างดีเกือบปีแล้ว จึงมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมได้ดี สามารถผลิตอาหารได้ปลอดภัย และจะได้รับผลดีจากราคาสุกรที่ปรับตัวขึ้น
ส่วนธุรกิจไก่ครบวงจร ปัจจุบันประเทศไทยมีโควต้าส่งออกไก่เข้าไปยังสหภาพยุโรปเพียง 1.6 แสนตันและโควต้าเต็มมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการเข้าไปยังสหภาพยุโรป ลงทุนบริษัท Super Drob ผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารในประเทศโปแลนด์ และสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยเสริมในส่วนนี้ได้ และปัจจุบันผลการดำเนินงานของบริษัทในโปแลนด์ก็มีการปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ส่วนกระทบจากการที่อังกฤษขอถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป นั้น ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องกฎเกณฑ์ใดๆ แต่เชื่อว่าอังกฤษยังมีความต้องการนำเข้าไก่อยู่
สำหรับการลงทุนในประเทศแคนาดา ภายหลังจากการเข้าถือหุ้นใน บริษัท HyLife Investments Ltd. (HIL) ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากทางรัฐบาลแคนาดา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ และหลังจากนั้นบริษัทฯ จะสามารถบันทึกงบการดำเนินงาน ทั้งยอดขายและกำไรเข้ามาทันที
ขณะที่ ธุรกิจกุ้งในเวียดนาม และฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มการเติบโตแจ่มใส จากการปรับปรุงระบบการเลี้ยงให้กับเกษตรกรรายย่อย และมีการเพิ่มการผลิตตอบรับนโยบายส่งเสริมการผลิตเพื่อส่งออกของรัฐบาล
“บริษัทยังเน้นการเติบโตจากต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยขยายความสำเร็จสู่การเติบโตในต่างประเทศที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม ที่มีความต้องการพัฒนาการเลี้ยงสัตว์และการผลิตอาหารให้ทันสมัยและได้มาตรฐาน ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว บริษัทฯ จะเน้นการเข้าไปซื้อกิจการอาหารสำเร็จรูป ทั้งนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับโอกาสการเติบโตทั้งสองทาง ซึ่งมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพราะอยู่บนพื้นฐานธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร” นายสุขสันต์กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศ 67% และในประเทศ 33% โดยในประเทศแบ่งเป็น การเติบโตจากภายในประเทศไทยเอง 28% และการส่งออก 5% ทิศทางการเติบโตของซีพีเอฟ ในอีก 5-6 ปีข้างหน้า บริษัทจะเติบโตจากกิจการต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะ ประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม รัสเซีย ตลาดเหล่านี้ยังเป็นตลาดต้นน้ำอยู่ โดยจะมุ่งเน้นในธุรกิจ Feed-Farm-Food ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ