กกร.มีมติให้ รพ.เอกชนผู้ที่เกี่ยวข้องส่งราคายาให้พาณิชย์ นำไปเผยแพร่-ก่อนขึ้นราคาแจ้งล่วงหน้า 15 วัน

กกร.มีมติให้ รพ.เอกชนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องส่งราคายาให้ พาณิชย์ เพื่อนำไปเผยแพร่และก่อนขึ้นราคาต้องแจ้งก่อน 15 วัน คาดมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า

กกร. มีมติให้โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายส่ง แจ้งราคาซื้อขาย “ยา” นำร่องรายการยากว่า 3 พันรายการ เพื่อนำขึ้นเว็บไซต์ ให้ผู้ป่วยได้ตรวจสอบก่อนใช้บริการ พร้อมมาตรการอื่นคาดน่าจะประกาศลงราชกิจจาเพื่อบังคับใช้ได้ในสัปดาห์หน้า

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้มีมิติเห็นชอบให้โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายส่ง ต้องแจ้งราคาซื้อขายให้แก่กรมการค้าภายใน เพื่อเผยแพร่ราคาจำหน่ายของโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งผ่านเว็บไซต์ และให้โรงพยาบาลเอกชนจัดแสดง QR Code ไว้อย่างเปิดเผยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้โดยสะดวกด้วย ส่วนกรณีที่โรงพยาบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงราคายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ต้องแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบก่อนปรับราคาไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งเห็นชอบตามข้อเสนอมาตรการดูแลราคายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ ที่คณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดมาตรการยาและเวชภัณฑ์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล พิจารณาและได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี ขั้นตอนจากนี้กรมการค้าภายในในฐานะฝ่ายเลขาก็จะดำเนินการร่างประกาศขึ้นมา เพื่อให้รับมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนาม ก่อนนำไปลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป เชื่อว่าภายในสัปดาห์น่าจะเห็นประกาศชัดเจน สำหรับการแจ้งราคาซื้อขายยาจะดำเนินการนำร่องรายการยาที่อยู่ในบัญชีของ UCEP (นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่) ที่มีรายการยาที่จำเป็นอยู่ 3,892 รายการ จากบัญชียาและรหัสยามาตรฐานของไทย (TMT) ที่มีอยู่ 30,103 รายการ เพราะถือเป็นยาที่คนใช้มากและเป็นยาจำเป็น อย่างไรก็ดี อนาคตอาจจะพิจารณาจะดูรายการยาที่จำเป็นอื่นๆที่อยู่นอกเหนือจากบัญชี UCEP เพิ่มเติมต่อไป

ทั้งนี้ การประกาศราคาซื้อขายยาขึ้นไว้ในเว็บไซต์ จะเป็นการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่าราคายาของแต่ละโรงพยาบาลเอกชน มีราคาเท่าใด จะได้เปรียบเทียบได้ และจะได้เข้าไปใช้บริการ แต่ถ้าพบว่ามีการคิดราคาสูงไปกว่าที่แจ้งราคาไว้ ผู้บริโภคก็สามารถร้องเรียนเข้ามายังกรมการค้าภายใน เพื่อที่จะดำเนินการตามกฎหมายได้ นอกจากนี้ กกร. ยังได้มีมติให้โรงพยาบาลเอกชนจะต้องจัดทำใบสั่งยาตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมและใบแจ้งราคายา โดยจะต้องมีการระบุชื่อยา ชื่อทางการค้า ชื่อทางวิทยาศาสตร์ และระบุราคาแนบไปด้วย เพื่อให้ผู้บริโภครู้ราคา และสามารถนำไปสั่งยาไปซื้อยาได้นอกโรงพยาบาลได้

ส่วนการรักษาพยาบาลผู้ป่วย กรณีที่มีการจ่ายยาหรือเวชภัณฑ์ หรือให้การรักษาพยาบาลเกินความจำเป็น กกร. ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อทำหน้าที่พิจารณาความเหมาะสมในการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วย ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวจะทำหน้าที่ประสานและแจ้งความเห็นไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ไปพิจารณาดูรายละเอียดของราคาค่าเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยา โดยปัจจุบันมีมีข้อมูลเวชภัณฑ์ประมาณ 868 รายการ และบริการทางการแพทย์ 5,286 รายการ

ทั้งนี้ ยืนยันว่า มาตรการที่ออกมาเป็นการปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 โดยยังไม่มีการเข้าไปควบคุมกำหนดราคาแต่อย่างใด แต่เป็นการทำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเท่านั้น ส่วนกรณีสมาคมโรงพยาบาลเอกชนจำนวน 42 ราย ฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวประกาศ กกร. นั้น เป็นสิทธิที่ทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะทำการชี้แจงต่อไป”

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กกร. จะดำเนินการจัดทำประกาศ กกร. และนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จสัปดาห์หน้า และเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษตามกฎหมาย คือ ไม่แจ้งราคาซื้อขาย มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีไม่ปฏิบัติตามระเบียบในเรื่องใบสั่งยา มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม ในการดูแลเรื่องยา แม้จะกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งข้อมูลการซื้อขาย แต่ถ้าผู้บริโภคเห็นว่าถูกคิดราคาเกินจริง หรือสูงกว่าราคาที่แจ้งไว้ สามารถร้องเรียนเข้ามายังกรมฯ ได้ จะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในเบื้องต้น กรมฯ จะเชิญโรงพยาบาลเอกชนประมาณ 70 ราย หรือประมาณ 20% จาก 353 ราย มาหารือ หลังจากมีการตรวจสอบพบว่ามีการคิดค่ายาสูงเกินจริง