12 จว. ทั่วไทย-เขื่อนใหญ่ ยังแล้ง! สทนช.เร่งถกแผน หลังอุตุฯคาดการณ์ประกาศเข้าสู่หน้าฝนกลางสัปดาห์หน้า

สมเกียรติ ประจำวงษ์​เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
สทนช.ถกหน่วยน้ำตรึงพท.กระทบแล้ง มั่นใจมาตรการป้องพื้นที่เสี่ยงเดินหน้าเต็มที่เพื่อไม่ยกระดับประกาศเขตภัยพิบัติ พร้อมหารือแผนรับมือฝนคู่ขนาน หลังอุตุฯคาดการณ์ประกาศเข้าฝนกลางสัปดาห์หน้า ย้ำแผนซักซ้อมการบริหารจัดการน้ำตาม Rule Curve ใหม่ และเร่งแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำให้แล้วเสร็จก่อนน้ำหลาก

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ ​เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 5/2562 ว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามผลการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยงเกิดภัยแล้งและแนวทางการให้ความช่วยเหลือที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะในพื้นที่่ประสบภัยแล้ง จำนวน 7 จังหวัด คือพิษณุโลก ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ นครราชสีมา มหาสารคาม ตราด และชลบุรี รวมทั้งพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพิ่มเติมอีก 12 จังหวัด คือ พิจิตร กำแพงเพชร ลำพูน อุตรดิตถ์ ตาก สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อ่างทอง และเพชรบุรี

ซึ่งในระยะสั้นได้จัดหาน้ำแจกจ่ายในพื้นที่ประสบภัยโดยรถบรรทุกน้ำแจกจ่ายน้ำดื่ม จัดซื้อภาชนะบรรจุสำรองน้ำ ซ่อมแซมและขุดบ่อบาดาล ซ่อมแซมถังเก็บน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ ก่อสร้างและซ่อมแซมระบบกระจายน้ำ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวสามารถผ่านพ้นฤดูแล้งปีนี้ไปได้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาระยะกลาง ซึ่งครม.ได้อนุมัติงบกลางแล้วจำนวน 1,226 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความจุให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำอื่นๆ โดย สทนช.จะลงพื้นที่ทุกเดือนเพื่อติดตามผลดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำรวมทั้งสิ้น 144 โครงการ ซึ่งดำเนินการโดย 6 หน่วยงานได้แก่ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การประปาส่วนภูมิภาค กองทัพบก ให้แล้วเสร็จโดยเร็วอีกด้วย

​สำหรับสถานการณ์น้ำทั่วประเทศล่าสุด ขณะนี้มีปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ 45,476 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 56 ของปริมาณน้ำที่เก็บกัก และศักยภาพน้ำบาดาล 1,228 ล้าน ลบ.ม. โดยมีอ่างเก็บน้ำเฝ้าระวังที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่า 30% แบ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 12 แห่ง เช่น อ่างเก็บน้ำกระเสียว มีปริมาณน้ำ 20% อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำ 24% อ่างเก็บน้ำทับเสลา มีปริมาณน้ำ 24% เป็นต้น และเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางอีก จำนวน149 แห่ง ซึ่งการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นไปตามหรือใกล้เคียงเป้าหมายที่วางไว้ ยกเว้นในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ ตามแผนจัดสรรไว้ตั้งแต่วันที่ 1พ.ย.61-30เม.ย.62 จำนวน 7,772 ล้าน ลบ.ม. แต่เมื่อถึงสิ้นเดือนเม.ย.62 ปรากฎว่า จัดสรรน้ำไปถึง 9,300 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 120 ของแผน

​นอกจากนี้ประเด็นสำคัญที่ได้มีการหารือร่วมกัน คือ มาตรการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำช่วงฤดูฝนตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์จะประกาศเข้าสู่ฤดูฝนประมาณสัปดาห์หน้า ใน 4 ประเด็นหลัก คือ

1. ให้ทุกหน่วยงานรับทราบแนวทางการปรับเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) ที่ขณะนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จทั้งอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 36 แห่ง และอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 414 แห่ง และได้มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินการตามเกณฑ์ใหม่นี้ไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะได้นำเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้วมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งการเก็บกักน้ำในฤดูถัดไป และการระบายน้ำโดยไม่กระทบพื้นที่ท้ายน้ำ

2. การติดตามตรวจสอบฐานข้อมูลและมาตรการในการบริหารจัดการน้ำ ทั้งแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ที่สทนช.ได้ดำเนินการรวบรวมแล้วเสร็จ เหลือเพียงขนาดเล็กที่คาดว่าจะมีฐานข้อมูลทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

3.ให้มีการเตรียมข้อมูลจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำหลากรายจังหวัด ให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เร่งตรวจสอบสภาพอาคารชลศาสตร์ สถานีโทรมาตร เพื่อติดตามเฝ้าระวัง ระบบการระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือ จัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำหลาก รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนตั้งแต่ต้นฤดูและดำเนินการอย่างต่อเนื่องด้วย

และ 4.การปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาน้ำท่วม โดย สทนช.ได้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการสำรวจและปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำตามภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ด้านที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับสถานการณ์น้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้ สทนช. ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ ซึ่งผลการดำเนินงานที่สำคัญที่ผ่านมาได้มีการสำรวจและปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำในพื้นที่ภาคใต้จำนวน 111 แห่ง ปัจจุบันได้มีปรับปรุงแล้วเสร็จจำนวน 91 แห่ง และคงเหลือดำเนินงานปี 2562 จำนวน 20 แห่ง ในจ.สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช เพชรบุรี ตรัง ชุมพร และยะลา


ทั้งนี้ สทนช. ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานให้พิจารณาเร่งรัดดำเนินการแก้ปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำในพื้นที่สำคัญที่มีความเสี่ยงท่วมซ้ำซากเป็นลำดับแรกให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนที่จะถึงนี้ รวมถึงเร่งปรับปรุงสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำให้เป็นไปเป้าหมายการดำเนินงาน 5 ปีแรก (2561-2565) ทั้งประเทศให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 รวมทั้งสิ้นจำนวน 562 แห่ง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 161 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 60 แห่ง ภาคกลาง 115 แห่ง ภาคตะวันออก 115 แห่ง และภาคใต้ 111 แห่ง เพื่อให้การระบายน้ำเกิดประสิทธิภาพไม่เกิดสิ่งกีดขวางทางน้ำและบรรเทาปัญหาอุทกภัยได้อีกทางหนึ่งด้วย