ปตท.สผ. เปิดตัวบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส ชูปัญญาประดิษฐ์-หุ่นยนต์ ขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่

AI มาอีก ‘ปตท.สผ.’ เปิดตัวบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส ชูเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ ขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่
ผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.เปิดตัวบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (เออาร์วี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ให้บริการด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ พร้อมมุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนวัตกรรม
 
 
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า เออาร์วี เป็นการเดินหน้ายุทธศาสตร์การลงทุนในธุรกิจใหม่ของ ปตท.สผ. เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยต่อยอดจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้สนับสนุนกิจกรรมการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ ปตท.สผ. เออาร์วียังสามารถยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากด้านพลังงาน
 
ทั้งนี้ เออาร์วี จะมีการลงทุนในระยะแรก (‪2562 – 2564‬) ประมาณ 1,600 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในระยะเวลา 3-5 ปี
 
ดร. ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป เออาร์วี กล่าวว่า เออาร์วี มีเป้าหมายระยะยาวในการเป็นแพลทฟอร์มเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งจากภาคการศึกษา อุตสาหกรรม รวมถึงสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาบุคลากร ที่ตอบสนองความต้องการของธุรกิจในยุคนี้และในอนาคต
 
หนึ่งในเทคโนโลยีล่าสุดที่เป็นผลจากความร่วมมือของเออาร์วีและพันธมิตรจากประเทศนอร์เวย์ คือ หุ่นยนต์ซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ (Subsea Flowline Control and Repair Robot – SFCR) ตัวแรกของโลก ที่สามารถตรวจสอบและซ่อมท่อส่งปิโตรเลียมใต้น้ำได้โดยอาศัยการควบคุมจากระยะไกล ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในงานซ่อมแซมได้กว่าครึ่งจากการทำงานรูปแบบเดิม และลดความเสี่ยงของทรัพยากรบุคคล
 
นอกจากนี้ เออาร์วี ยังให้บริการและอยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ สำหรับการปฏิบัติงานทั้งบนบก ในทะเล และทางอากาศ เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำอัตโนมัติไร้สาย (Inspection-class Autonomous Underwater Vehicle – IAUV) สำหรับตรวจสอบอุปกรณ์ใต้น้ำได้โดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบท่อส่งปิโตรเลียมใต้น้ำและโครงสร้างของแท่นผลิตปิโตรเลียมใต้ทะเล เพื่อป้องกันการชำรุด โดยไม่ต้องอาศัยเรือสนับสนุนหรือเจ้าหน้าที่บังคับ หุ่นยนต์ตรวจสอบภายในท่อ (In-pipe Inspection Robot – IPIR) เพื่อใช้สำรวจสภาพภายในท่อปิโตรเลียมที่มีพื้นที่จำกัด สามารถประมวลผลเป็นภาพ 3 มิติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ และอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle – UAV) หรือโดรน สำหรับตรวจสอบอุปกรณ์ในที่สูง ถ่ายภาพทางอากาศ และยังสามารถใช้บินสำรวจพื้นที่เกษตรกรรม ช่วยวิเคราะห์พืชผลเพื่อเพิ่มผลผลิต
 
“เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ ช่วยให้ธุรกิจก้าวข้ามข้อจำกัดของการทำงานในรูปแบบเดิม และสร้างข้อได้เปรียบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดระยะเวลาและต้นทุนในการดำเนินงาน เพิ่มความแม่นยำ ความคล่องตัว ด้วยความสามารถประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์และตัดสินใจเองได้ และเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เช่น การทำงานแทนมนุษย์ในพื้นที่เสี่ยง นอกจากนี้ การพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ทำให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวได้กับธุรกิจที่หลากหลาย” ดร.ธนา กล่าว
 
ตัวอย่างการออกแบบซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานด้านต่าง ๆ เช่น การริเริ่มวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับเพื่อใช้ในการเกษตรอัจฉริยะ ร่วมกับพันธมิตรในภาคการเกษตร และการพัฒนาโดรนแปรอักษร (Swarm Drones) ร่วมกับสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกโดยคนไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้