
สัมภาษณ์
หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบายพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน นับเป็นโจทย์อันท้าทายของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะ “กรมชลประทาน” ต้องวางผังและปรับแผนการใช้น้ำใหม่ เพื่อให้เพียงพอและเกิดความสมดุลระหว่างภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากภาคเอกชนหวั่นเกรงจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในอนาคต “ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “สมเกียรติ ประจำวงษ์” รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน ถึงความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก ระหว่างลงพื้นที่แหล่งน้ำเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
Q : ภาพรวมความคืบหน้าแผนน้ำ EEC
การเข้ามาของภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการในพื้นที่ภาคตะวันออกหลายปีที่ผ่านมา กรมชลประทานได้ปรับกระบวนในการพัฒนาลุ่มน้ำใหม่มาตลอด ยิ่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เกิดขึ้นใน 3 จังหวัด เราจึงต้องปรับและศึกษาทั้งระบบ นี่คือโจทย์ที่ได้รับจากทางรัฐบาล ดังนั้นในเร็ว ๆ นี้จะเสนอแผนโครงการเร่งด่วนเข้าที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) 3 โครงการ โดยจะใช้การศึกษา จ.สระแก้วเชื่อมโยงแหล่งน้ำภาคตะวันออกทั้งหมด ซึ่ง จ.สระแก้วมีเศรษฐกิจเป็นตัวนำ ขณะเดียวกัน จ.จันทบุรี ตราด ระยอง ภาคการเกษตรนำไม่แพ้กัน
ดังนั้นทั้งสองส่วนต้องเดินไปด้วยกัน จึงต้องมีแผนเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำ และในการประชุม ครม.สัญจรภาคอีสานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ครม.มีมติเห็นชอบให้พัฒนาแหล่งน้ำภาคอีสานด้วย งบประมาณ 8.8 พันล้านบาท จำนวน 165 โครงการ
Q : แผนเพิ่มแหล่งน้ำภาคตะวันออก
เราได้เพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำโดยปรับปรุงการเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำเดิมที่มีศักยภาพ 6 แห่ง ได้แก่ อ่างฯคลองใหญ่ อ่างฯหนองปลาไหล อ่างฯคลองสียัด อ่างฯหนองค้อ อ่างฯมาบประชัน และอ่างฯบ้านบึง รวมแล้วสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มอีก 84 ล้าน ลบ.ม. จากความจุเดิม 673.1 ล้าน ลบ.ม. และพัฒนาอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี 4 แห่ง ได้แก่ อ่างฯคลองพะวาใหญ่ อ่างฯคลองหางแมว และอ่างฯคลองวังโตนด โดยส่วนอ่างฯคลองประแกดก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ อ่างเก็บน้ำทั้ง 4 แห่ง มีความจุรวมกัน 308.5 ล้าน ลบ.ม. ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรในลุ่มน้ำวังโตนด 170 ล้าน ลบ.ม./ปี และผันน้ำส่วนเกินในฤดูฝนด้วยระบบท่อ คลองวังโตนด-อ่างฯประแสร์ เพื่อการอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมได้ 100 ล้าน ลบ.ม./ปี
อีกทั้งเชื่อมโยงแหล่งน้ำและระบบผันน้ำ ในระยะ 5 ปี จะทำการเชื่อมโยงแหล่งน้ำและผันน้ำภายในประเทศให้เต็มศักยภาพ โดยการเพิ่มศักยภาพท่อผันน้ำคลองวังโตนด-อ่างฯประแสร์ ให้รองรับการผันน้ำ 100 ล้าน ลบ.ม./ปี และพัฒนาท่อผันน้ำ อ่างฯประแสร์-อ่างฯหนองค้อ-อ่างฯบางพระ เพื่อรองรับการผันน้ำจากคลองวังโตนด จนถึงระยะ 10 ปีข้างหน้า มีแผนการผันน้ำจากเขื่อนสตึงมนัม ประเทศกัมพูชา มายังอ่างฯประแสร์ สามารถมีน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมอีก 300 ล้านลบ.ม./ปี และการจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และบริหารจัดการความต้องการ ดำเนินการโดยภาคการใช้น้ำ เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) โดยมีแผนงานศึกษาโดยกรมชลประทานร่วมกับ กนอ.ในการที่จะบริหารจัดการน้ำทิ้งเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล
“ที่เอกชนกังวลว่าน้ำจะไม่พอ เพียงพอแน่นอน ล่าสุดมีแผนเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำใน 2 ปี ไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน ลบ.ม. เสริมอ่างเก็บน้ำเดิม 4 แห่งดังที่กล่าว ถามว่า ในปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมีเท่าไร แต่พบว่าครึ่งต่อครึ่งระหว่างน้ำโครงข่ายและแม่น้ำธรรมชาติภาคเอกชนหรือโรงงานอุตสาหกรรมจัดหาเอง แต่ต่อจากนี้การจะหาแหล่งน้ำจะเริ่มตึงตัวจากโครงข่ายเท่านั้น ตรงนี้เราจะเสริมเข้าไปเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำมากขึ้นทั้ง 4 แห่ง ความจุ 84 ล้าน ลบ.ม. ตอนนี้เราเริ่มทำแล้ว 2 ปีต้องเสร็จ เราพยายามใช้การเก็บกักเมื่อฝนตกท้ายอ่างเราก็ชะลอให้โดยนำน้ำตกท้ายอ่างมาใช้ประโยชน์ และบางทีต้องผันน้ำกลับเข้าไปด้วย ตรงนี้จะได้ 20 ล้าน ลบ.ม.”
Q : เชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์น้ำแห่งชาติ
ในแผนระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมควบคู่ภาคการเกษตรอย่างชัดเจน ภาคอุตสาหกรรมมีองค์กรดูแล แต่น้ำภาคเกษตรจะดูผ่านกรมชลประทาน ดังนั้นเราจะต้องวางแนวคิดเปลี่ยนน้ำฝนให้เป็นชลประทานมาใช้ในการเกษตรให้มากที่สุด จะเห็นได้จากตัวเลขน้ำภาคตะวันออกไหลลงสู่ทะเล บางปะกง จริง ๆ แล้วมีออกนอกประเทศ เช่น พรมโหด เราใช้อะไรไม่ได้เลย จะเห็นว่าเรามีแหล่งเก็บกักประมาณ 10% ของน้ำภาคตะวันออก ที่เหลือ 90% ลงสู่ทะเลและออกนอกประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่เรามีแหล่งเก็บน้ำหลักที่ระยอง ชลบุรี จันทบุรี และปราจีนบุรี คือเขื่อนนฤบดินทรจินดา (ห้วยโสมง) และพระพรม จ.สระแก้ว ตามที่กล่าวข้างต้น ดูแล้วมีโครงการเกิดขึ้นหลายโครงการ แต่ล่าสุดเราจะขอรัฐบาลเปิดโครงการอ่างเก็บน้ำอีก 3 โครงการ
จริง ๆ แล้วหากมองตัวเลขภาคเกษตรมีความต้องการไม่มาก แต่ภาคอุตสาหกรรมเราเคยได้รับบทเรียนต้องไประดมน้ำจากภาคอื่น ๆ มาช่วยทำให้ขาดความเชื่อมั่น ดังนั้นภาคตะวันออกมีถึง 27 นิคมอุตสาหกรรมจะทำอย่างไร ซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นว่า หากเอาน้ำไปให้อีอีซีก่อนไม่ได้ เราต้องพัฒนาภาคการเกษตรก่อนด้วย จึงถือโอกาสพัฒนาภาคเกษตร 3 แสนไร่ ที่เหลือเอามาช่วย EEC ดังนั้นน้ำส่วนหนึ่งใน 5 ปีจะมาจากตรงนี้ เรายืนยันกับคณะกรรมการอีอีซี ถามว่า กรมชลประทานพร้อมหรือไม่ บอกเลยว่า 8-10 ปีเราพร้อมหมด
Q :พัฒนาแหล่งน้ำภาคเกษตรได้รับอานิสงส์ด้วย
นี่คือสิ่งที่เราและชาวบ้านเกษตรกรเองก็กังวล เราถึงต้องการจัดทำแผนแหล่งน้ำให้ชัดเจน ว่าเราต้องการจะใช้แหล่งน้ำไหนในการพัฒนาภาคเกษตร หรือภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหลังจากที่ได้มีการวางแผน เห็นได้ชัดเลยว่าน้ำภาคอุตสาหกรรมที่การประปารับผิดชอบเราสามารถที่จะสนับสนุน ได้ศึกษาเรียบร้อยแล้ว น้ำภาคอุตสาหกรรมจะไม่มีปัญหา แต่น้ำภาคเกษตรเราต้องการให้เกิดความชัดเจนว่า ถ้าอุตสาหกรรมนำ แล้วภาคเกษตรจะได้รับการพัฒนาอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่เวลาเจริญต้องเจริญไปด้วยกัน ตรงนี้เองกรมชลฯต้องมาดูแหล่งน้ำที่มีอยู่ แม้จะยากแต่เพื่อความยั่งยืนภาคเกษตร ทั้งจัดหาที่ดิน สร้างลำน้ำสาขา รวมความจุ 40 กว่าแห่ง จะเห็นว่าอาจต้องใช้เวลา แต่เมื่อมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
“สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว เช่น การขุดลอกหนองเก่าความจุ 4 แสน ลบ.ม. เพิ่มเป็น 8 ล้าน ลบ.ม. ต้องตกลงกับชาวบ้านเพื่อการเกษตรและหน่วงน้ำไม่ให้เกิดภัยแล้ง และลำน้ำสาขาต้องมีการพัฒนาแก้มลิงรวมความจุ 40 ล้าน ลบ.ม. หรือบางแห่งต้องใช้ทรัพยากรน้ำด้านอื่น ๆ รวมไปถึงขุดคลองลัดบายพาส สร้างคลองสายใหม่ พื้นที่โดยรอบจะได้รับอานิสงส์ กรมชลฯได้มอบหมายให้สำรวจ ออกแบบ ปลายปีจะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม และได้ผสมผสานคลองและถนนเข้าด้วยกัน”