อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทยไม่ติดบ่วงคำสั่ง “ทรัมป์” เหตุมีส่วนแบ่งตลาดน้อยไม่ถึง 1%

อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทยไม่ติดบ่วงคำสั่งทรัมป์ เหตุมีส่วนแบ่งตลาดน้อยไม่ถึง 1% พาณิชย์เตรียมพบ USTR ในการประชุมอาเซียน ก.ค.นี้ ติดตามความคืบหน้า และชี้แจงสถานการณ์ส่งออกไทย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประชุมร่วมกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เพื่อติดตามสถานการณ์ที่จะมีผลต่ออุตสาหกรรม และกำหนดท่าทีในการดำเนินการของไทย หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ดำเนินการเจรจาทำความตกลงกับประเทศที่ส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนมายังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ และป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยให้รายงานผลภายใน 180 วัน

“เบื้องต้น นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย เพราะไม่มีรายชื่ออยู่ในประเทศที่สหรัฐฯ ระบุไว้ในเป้าหมาย และคาดว่าไม่น่าจะอยู่ในเป้าหมาย เพราะไม่ได้มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ มากนัก และเท่าที่ได้หารือกับภาคเอกชน ส่วนใหญ่ไม่กังวล แต่ต้องติดตามสถานการณ์ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯกำลังเจรจากับประเทศที่เป็นเป้าหมาย อย่างไรก็ตามโดย กรมฯ มองว่า ไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ ก็มีสัดส่วนไม่มาก จึงไม่น่าจะกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ” นางอรมนกล่าว

สำหรับรายการสินค้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ามีการนำเข้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเล็ก  ชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเครื่อง เครื่องยนต์และชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง และชิ้นส่วนไฟฟ้า เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ของสินค้าไทย พบว่า ในปี 2561 ไทยส่งออกยานยนต์ไปสหรัฐฯ มูลค่า 230.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับที่สหรัฐฯ นำเข้าจากทั่วโลก มีมูลค่า 2.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.1% และชิ้นส่วนยานยนต์ ส่งออกมูลค่า 1,296.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับที่สหรัฐฯ นำเข้าจากทั่วโลกมูลค่า 138,991.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.9% ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ

นางอรมนกล่าวว่า ไทยจะใช้โอกาสที่จะพบปะกับ USTR ช่วงการประชุมรัฐมนตรีการค้าอาเซียนในเดือน ก.ค.2562 เพื่อสอบถามความคืบหน้าการดำเนินการของสหรัฐฯ และจะชี้แจงให้สหรัฐฯ เห็นถึงสถิติการส่งออกของไทย รวมถึงจะหารือถึงความร่วมมือทางการค้า การลงทุน ปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่มีอยู่ด้วย

ทั้งนี้การออกคำสั่งประธานาธิบดีดังกล่าว เป็นไปตามที่สหรัฐฯ ได้ประกาศไต่สวนสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act 1962 ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2561 โดยให้เหตุผลว่ากระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และจะพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 25% จากนั้น USTR ได้ทำการไต่สวนและเสนอผลสรุปให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือน ก.พ.2562 และประธานาธิบดีมีเวลา 90 วันที่จะตัดสินใจ จนถึงวันที่ 17 พ.ค.2562 ได้ลงนามในคำสั่งให้เปิดการเจรจากับอียู ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ที่ USTR เห็นว่ามีผลกระทบต่อสหรัฐฯ และให้รายงานผลภายใน 180 วัน