ยอดขายพื้นที่นิคมฯใน EEC พุ่ง 1,328 ไร่ โครงสร้างพื้นฐานพร้อม ญี่ปุ่นทยอยปักหมุด-จีนหนีเทรดวอร์

เขตส่งเสริมพิเศษ” ที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

“กนอ.” โชว์ผลงานกวาดยอดขาย-เช่าที่ดินนิคมฯ ในรอบ 6 เดือน (ตุลาคม 2561-มีนาคม 2562) แตะ 1,339 ไร่ เพิ่มขึ้น 5.25% ดึงเม็ดเงินลงทุน 8,593 ล้านบาท นักลงทุนคึกคักตัดสินใจใช้พื้นที่ EEC เป็นฐานการผลิตโดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น หลังความชัดเจนรัฐเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะท่าเรือฯมาบตาพุดระยะ 3 (ช่วงที่ 1) เป็นรูปธรรม มั่นใจดันยอดขาย-เช่าทั้งปีเข้าเป้า 3,500 ไร่

นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ กนอ. ในรอบ 6 เดือน (ต.ค.61-มี.ค.62) ที่ผ่านมา มียอดขาย/เช่าพื้นที่นิคมฯ อยู่ที่ 1,339 ไร่ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ต.ค.60-มี.ค.61) จำนวน 525 ไร่ หรือคิดเป็น 5.25% มูลค่าลงทุนรวม 8,593 ล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นพื้นที่นิคมฯใ นเขตพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถึง 1,328 ไร่ นิคมฯนอกพื้นที่ EEC จำนวน 11 ไร่ และก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มอีก 1,585 คน

สมจิณณ์ พิลึก

เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่อีอีซี ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาท่าเรือฯมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นความชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมทั้งมาตรการต่างๆ ที่รัฐมุ่งส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง S-Curve และ New S-Curve ตลอดจนยังมีปัจจัยจากต่างประเทศที่หนุนการลงทุน

โดยเฉพาะนักลงทุนจีนที่เข้าไทยมากขึ้น จากกรณีที่สหรัฐฯ ได้ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในรอบ 2 ทำให้สงครามการค้ามีความรุนแรงมากขึ้น เป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนจีนตัดสินใจที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศเร็วขึ้น ซึ่งไทยถือเป็นประเทศเป้าหมาย และเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีให้ยอดขายและเช่าที่ดินทั้งปีของ กนอ.เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่ที่ 3,500 ไร่

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในนิคมฯไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อยู่ในอันดับ TOP 5 ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมคลังสินค้า อุตสาหกรรมยาง พลาสติกและหนังเทียม อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักร และอะไหล่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์

กลุ่มประเทศที่เข้ามา 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบัน กนอ.มีศักยภาพที่พร้อมรองรับการลงทุน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ครบถ้วน แล้ว กนอ.ยังให้ความสำคัญในเรื่องของการให้บริการกับนักลงทุนแบบครบวงจร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการติดต่อกับหน่วยงานราชาการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการขอใบอนุมัติ และใบอนุญาต ผ่านศูนย์ให้บริการของ กนอ.Total Solution Center (TSC)

สำหรับทิศทางการลงทุนที่นักลงทุนจะเข้ามาซื้อและเช่าพื้นที่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 กนอ.คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมที่เชื่อมโยงเส้นทางการค้าการลงทุนเต็มรูปแบบมากขึ้น รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่จะได้ข้อสรุปและการประกาศนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลในระยะต่อไป

ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ. ทั้งนิคมฯบริหารงานเอง และนิคมฯร่วมดำเนินงานในพื้นที่นิคมฯ จำนวน 55 แห่ง 16 จังหวัดทั่วประเทศ รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 165,608 ไร่ โดยมีนิคมฯที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 49 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาเปิดดำเนินการอีก 6 แห่ง ได้แก่

1.นิคมอุตสาหกรรมอมตะชิตี้ (โครงการ 2) 2.นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอระยอง 36 3.นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 4) 4.นิคมอุตสาหกรรมยามาโตะอินดัสทรีส์ 5.นิคมอุตสาหกรรมหนองคาย 6.นิคมอุตสาหกรรมสงขลา รวมพื้นที่เพื่อขาย/เช่า ประมาณ 109,884 ไร่ โดยปัจจุบันมีพื้นที่ขาย/เช่าแล้วทั้งสิ้น 90,222 ไร่ และพื้นที่คงเหลือสำหรับขาย/ให้เช่า ประมาณ 19,662 ไร่ ก่อให้เกิดเม็ดเงินการลงทุนในนิคมฯ สะสมรวมอยู่ที่ 3,827 ล้านบาท มีการจ้างงานรวมทั้งสิ้น 479,583 คน

ทั้งนี้จากนโยบาย EEC ของรัฐบาล ที่มุ่งหวังให้เป็นพื้นที่ในการรองรับการลงทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวในปัจจุบันมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม


ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาท่าเรือฯมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ส่งผลทำให้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นขยายการลงทุนมาในนิคมฯ เพิ่มขึ้น