กกร.ลดเป้าส่งออก ติดลบ 1% เหตุศก.โลกซบ-บาทแข็ง

ปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย
กกร.ลดเป้าส่งออกเหลือติดลบ 1% เหตุจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินบาทแข็งค่า พร้อมเร่งหารือแบงก์ชาติแก้ไข กับเตรียมส่งสมุดปกขาวให้รัฐบาลก.ค.นี้

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวระหว่างการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกจากภาพรวมครึ่งปีหลังนี้ มีแนวโน้มที่ชะลอตัวจากความซบเซาของการค้าโลก ขณะที่ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว และอาจยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าอีก หากธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกสินค้าไทย ทำให้แนวโน้มการส่งออกทั้งปี 2562 อาจมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ขยายตัว

ดังนั้น ที่ประชุม กกร. จึงปรับกรอบประมาณการอัตราการเติบโตของการส่งออกในปี 2562 ลงมาที่ -1.0% ถึง 1.0% จากเดิมประเมินไว้ที่กรอบ 3.0-5.0% และแม้ว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ กกร. ก็มองว่าอาจจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลจากการส่งออกที่ลดลงท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและทิศทางเงินบาทที่แข็งค่า ดังนั้น กกร. จึงปรับกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ลงมาที่ 2.9-3.3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่กรอบ 3.7-4.0% สำหรับอัตราเงินเฟ้อปี 2562 ยังคงไว้ที่กรอบเดิมคือ 0.8-1.2%

อย่างไรก็ดี กกร. ได้ทำข้อเสนอเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการยกระดับคุณภาพแรงงานไทย ประกอบด้วย 1.การปรับขึ้นค่าจ้างควรขึ้นตามความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดไตรภาคี 2.การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานและการพัฒนาฝีมือแรงงาน และ3.การเพิ่มกำลังคนทดแทน โดยข้อเสนอทั้งหมดจะเสนอกับหน่วยงานที่ดูแลต่อไป

อย่างไรก็ดีในสัปดาห์หน้า กกร. จะเข้าพบผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วจนเกินไป โดยมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสม และเอกชนสามารถแข่งขันได้ควรจะอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้หากดูแลค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ เชื่อว่าโอกาสการส่งออกจะไม่ลดน้อยลง สำหรับปัจจัยภายนอกที่กระทบต่อการส่งออกและ เศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ ปัญหาสงครามการค้า ค่าเงินบาท และปัญหาการเมือง แม้จะมีการตั้งรัฐบาลขึ้นแล้วแต่การขับเคลื่อนโครงการต่างๆยังมีความล่าช้า


ทั้งนี้ กกร.อยู่ระหว่างจัดทำและรวบรวมข้อสรุปเป็นสมุดปกขาว ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เตรียมยื่นให้กับรัฐบาลที่คาดว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เดือนกรกฏาคมนี้ อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและเอกชน การส่งเสริมระบบบริหารจัดการภาครัฐ และหลักธรรมมาภิบาลเป็นต้น