กยท.แจง ครม.ใช้งบ 61 ย้ำไม่มีโครงการแทรกแซงราคายางตก แนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบรายงานงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพื่อรับทราบ ตามกฎหมายที่ประกาศให้ต้องรายงานให้ ครม.รับทราบด้วย โดยสาระสำคัญมีดังนี้ คณะกรรมการ กยท.มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 เป็นเงินทั้งสิ้น 14,666.5194 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ทุน กยท. งบประมาณ 3,972.7917ล้านบาท จำแนกเป็น งบทำการ 3,843.5517 ล้านบาท และงบลงทุน 129.24 ล้านบาท 2.กองทุนพัฒนายางพารางบทำการ งบประมาณ 10,693.7277 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 มาตรา 55 บัญญัติ ให้ กยท.จัดทำงบประมาณประจำปีโดยจำแนกเงินที่จะได้รับในปีหนึ่งๆ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ให้แยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุน ส่วนรายละเอียดของงบลงทุนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเป็นหน่วยงานที่จะนำเสนอครม.เป็นภาพรวมระดับประเทศต่อไป

นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า งบประมาณในปี 2561 จะเป็นงบประมาณที่ใช้ในการบริหาร ค่าจ้างบุคลากร ประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับที่เหลือจะเป็นงบประมาณสนับสนุนโครงการของกยท.ที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมถึงการซ่อมแซม และปรับปรุงโรงงานเก่าของกยท.ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนงบประมาณลงทุนขนาดใหญ่ แบบรัฐวิสาหกิจอื่นๆ คงยังไม่มีในปีนี้ เนื่องจากกยท.ยังเป็นเพียงหน่วยงานขนาดเล็ก เน้นภารกิจงานภายใต้งบประมาณที่มีอยู่เพื่อให้องค์กรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ นอกจากนี้ กยท.ก็คงไม่มีการตั้งงบประมาณ เพื่อเตรียมการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำไว้ล่วงหน้า เนื่องจากอาจเป็นกระบวนการที่บิดเบือนกลไกของตลาด

“การตั้งงบประมาณ เพื่อเตรียมการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ กยท.คงไม่ได้มีการตั้งงบไว้ก่อนล่วงหน้า เนื่องจากผมบอกว่า วิธีการที่ดีที่สุดของการแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ คือการปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกของตลาด ปราศจากการแทรกแซง รวมทั้งผมมองว่า มาตรการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ และหน่วยงานภาครัฐที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว จะส่งผลดีต่อราคาในระยะ 1 – 2 ปีนับจากนี้”

นายธีธัชกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ราคายางในขณะนี้ ถือว่ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยณ วันที่ 7 กันยายน ยางแผ่นดิบ ณ ตลาดกลาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อยู่ที่ 56.12 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ยางแผ่นรมควัน ชั้น 3 อยู่ที่ 58.99 บาทต่อกก. ราคายางส่งออก ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ (เอฟโอบี) อยู่ที่ 65.15 บาทต่อกก. ทำให้กยท.ยังคงกรอบราคายาง ในช่วงนี้อยู่ที่ 60 – 70 บาทต่อกก. อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด คือ ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก รวมทั้งปัญหาความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี

 

ที่มา : มติชนออนไลน์