นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงาน “บางกอกโพสต์ ฟอรัม 2019” หัวข้อ “ทิศทางประเทศไทยภายใต้รัฐบาลใหม่ (ROADMAP TO SUCCESS : UP CLOSE WITH THAILAND’S NEW MINISTERS) จัดโดย หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงต่อเนื่องและยังไม่มีท่าทีจะยุติ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง GDP ตกเหลือเพียง 6.4% ในรอบ 28 ปี และเมื่อเกิดกำแพงภาษี นักลงทุนจะต้องหาช่องทางขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะดึง 2 ประเทศนี้เข้ามาลงทุน
ดังนั้นภายใน 3 เดือนจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมต้องได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า โดยเตรียมเดินทางไปชักจูงนักลงทุน (Road Show) ยังประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา เพื่อดึงอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ที่ไทยต้องการเข้ามาลงทุน โดนเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ซึ่งจะชักจูงทั้งกับอุตสาหกรรมเป้าหมายนักลงทุนรายเดิมที่ได้เคยเจรจาไว้แล้วก่อนหน้านี้ และรายใหม่ที่มองว่าเข้ามาแล้วจะสนับสนุนด้านเทคโนโลยีให้ไทยได้มากที่สุด สำหรับสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้หารือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้นับว่าไทยพยายามให้ได้สูงสุดแล้ว แต่จะพิจารณาเป็นรายกรณีหรือไม่นั้น ยังคงต้องหารือกันอีกครั้ง
“เราจะใช้โอกาสนี้หารือกับนักธุรกิจทั้งจีนและสหรัฐฯ ที่ลงทุนในไทยอยู่แล้วว่าอยากให้รัฐบาลไทยต้องการข่วยเหลืออะไร เพราะกังวลว่าเราจะดึงดูดการลงทุนมาไม่ได้ เนื่องจากเวียดนามถือเป็นคู่แข่ง แต่หากย้อนกลับไปดูปัจจัยทั้งหมดไทยคือฐานการผลิตยานยนต์ เราสามารถดึงคลัสเตอร์เข้ามาจนเป็นซัพพลายเชนจนครบและผลิตป้อนให้กับทั่วโลก เมื่อเรามีจุดแข็งตรงนี้ และมี EEC เราจึงแข็งแกร่งกว่าเวียดนาม มั่นใจว่าเราจะไม่เสียเปรียบในครั้งนี้ แต่เราก็ต้องมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสมด้วย”
นอกจากจีนและสหรัฐฯ ไทยยังมีเป้าหมายดึงการลงทุนจากญี่ปุ่น ซึ่งยังคงเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญของไทยอันดับต้นๆ และญี่ปุ่นยังคงมีความร่วมมือในการช่วยพัฒนาในอีกหลายๆ ด้าน
และเร็วๆ นี้ เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงการรับมือค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ โดยอยากให้ ธปท.เข้ามาดูแลค่าเงินบาท ซึ่งค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาทถือว่ารับได้