“กอบศักดิ์” มั่นใจไทยรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ หลังการเมืองมีเสถียรภาพ

“กอบศักดิ์” มั่นใจไทยรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ หลังการเมืองมีเสถียรภาพ เผยอานิสงส์เทรดวอร์ต่างชาติแห่ย้ายฐานผลิตมาไทย เชื่อครึ่งปียังโต 3%

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (ประจำนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กล่าวในงาน together is power 2019 โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาหอการค้า และสมาคมธุรกิจการค้า “เรื่องแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล” ว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ มองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวกว่าที่คิดเอาไว้มาก จากปัจจัยหลายๆด้าน ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลก ถึง 4 ครั้ง จากที่คิดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว เป็นชะลอตัว แสดงว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ดัชนีการผลิตหลายประเทศปักหัวลง รุนแรง ไม่ได้ชะลอตัวส่งผลกระทบกับการส่งออก และจีดีพีในครึ่งปีลดลงทุกประเทศรวมถึงไทย โดยปัจจัยภายนอกสงครามทางการค้า ระหว่างจีนกับสหรัฐเกิดยิ่งตอกย้ำความผันผวนให้กับเศรษฐกิจโลก รุกลามไปถึงสงครามระหว่างจีนกับฮ่องกง ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ทำให้มีปัญหามากขึ้น

สำหรับ ค่าเงินหยวนจากที่เคยอ่อน ตอนนี้แข็งค่าขึ้น อยู่ที่ 7 หยวนต่อดอลลาร์ ยิ่งสหรัฐขึ้นภาษี จีนยิ่งลดค่าเงิน เพื่อให้สินค้าส่งออกมีราคาเท่าเดิม เมื่อหยวนอ่อนค่าลง 13% ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 20% ผลกระทบนี้ไทยเลี่ยงได้ยาก เพราะสินค้าจีนได้เปลี่ยนทุกตลาดในโลก กระทบกับการส่งออกสินค้าไทยในตลาดที่ 3 (Third market) เพราะสินค้าจีนจะได้เปรียบทุกประเทศทั่วโลก ส่วนค่าบาทที่แข็งกระทบกับภาคการเงินของไทย หุ้นตกต่ำ ด้านอัตราดอกเบี้ยระยะยาว 20 ปี ของเฟดมีภาวะที่เปลี่ยนไป จากการกู้ยาวดอกเบี้ยจะแพง กลายเป็นปัจจุบันต่ำลง แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯมีอะไรเกิดขึ้นที่แรงกว่าที่คิดเอาไว้แน่นอน และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้จะกระทบกับไทย 3 ช่องทางคือ การส่งออก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และการท่องเที่ยว ที่เริ่มเห็นแล้วจาก จีดีพีที่ขยายตัวเหลือปีนี้แค่ 2.3 % เท่านั้น จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 5 % โดยครึ่งปีแรกขยายตัว 2.3 % ครึ่งปีหลังต้องทำให้ได้ 3%

“เรื่องนี้ได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจรับทราบและเตรียมรับมือแล้ว ซึ่งข่าวดีแรกที่จะทำให้ไทยผ่านภาวะนี้ไปได้คือการที่ไทยมีรัฐบาลแล้ว เป็นโจทย์สำคัญที่จะผลักดันให้ จีดีพีครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้าให้ได้ “

สำหรับ ข่าวดีที่สองคือ รัฐบาลมีโครงการต่างๆจำนวนมาก ที่ผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง เช่นรถไฟใต้ดิน รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง อีอีซี การสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระนอง และสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่ทุกอย่างพร้อมแล้วเหลือเพียงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเท่านั้น

อีกทั้งเทรดวอร์จะเป็นโอกาสของการลงทุนภาคเอกชนย่อมส่งผลให้เกิดโอกาสส่งออกส่งไปทดแทนตลาดอเมริกา จากเคยส่งไปจีน เช่นเดียวกัน ส่งสินค้าจากไทยไปจีน 90% พืช อาหารปรุงแต่ง ยังส่งได้ ท่ามกลางวิกฤติย่อมเป็นโอกาส และจะมีการย้ายฐานผลิตมาไทย มีหลายบริษัทที่อยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ในการย้ายฐานผลิต โดยที่ประชุมครม.เศรษฐกิจที่ผ่านมาได้หารือสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้รวบรวมรายชื่อบริษัทต่างๆเพื่อเสนอให้ที่ประชุมรับทราบครั้งต่อไป ‪30 ส.ค.นี้ โดยมองว่าหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งปลายปีหน้าอีก จะยิ่งทำให้สงครามทางการค้ายืดเยื้อ โอกาสการย้ายฐานของผู้ประกอบการจะมีมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่มีเส้นทางการขนส่งทางบกเชื่อมโดยตรงถึงจีน‬

ดังนั้น รัฐบาลจะเร่งปรับแก้กฎหมายต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนและผู้ส่งออกมากขึ้น และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ ครม. ได้เห็นชอบ 3 มาตรการของกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ผู้มีรายได้น้อย เอสเอ็มอี รวมวงเงินกว่า 2 แสนล้านบาท อีกทั้งยังเน้นยำเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในกลุ่มประเทศ CLMV

โดยมั่นใจว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรงเท่าปี 2008 ที่ไทยยังผ่านมาได้ และเมื่อผ่านวิกฤต ไปแล้ว ไทยจะเป็นประเทศเกิดใหม่ ซึ่งครม.ได้ตั้งคณะกรรมการคอยติดตามและรายงานต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรงด้วย

“ยอมรับว่าภาระหนักอกของผมและท่านจุรินทร์ รมว.พาณิชย์ คือภาคเกษตร การส่งออกท่องเที่ยว ส่งออก เป็นความท้าทายในตอนนี้ เมื่อผลกระทบไทยเริ่มเกิดก็จะเห็นจากตัวเลข จีดีพี รวมถึงความเชื่อมั่นปรับตัวลดลง สะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและปัญหาคือเมื่อข้ามพรรคแล้วอาจจะลำบากแต่เราจะเป็นตัวประสาน” นายกอบศักดิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวระบุว่า ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะไปมอบนโยบายและเป้าหมายการชักจูงนักลงทุน ให้ boi ทั้งสนง. 16 สาขา เพื่อชักจูงการลงทุน ที่ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน อาคารจัตุรัสจามจุรี