ทูตพาณิชย์ฝ่าวิกฤตส่งออก ดันเป้าส่งออกสูงลิบลิ่ว 3.5%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายเชื่อมโยงการปฏิบัติงานระหว่างผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) 58 แห่งทั่วโลก กับพาณิชย์จังหวัด และทูตเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อผลักดันการส่งออกให้เป็นไปตามเป้าหมาย 3% มูลค่า 260,546 ล้านเหรียญสหรัฐ จากช่วง 7 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.ค.) ยังติดลบอยู่ -1.9% มูลค่า 144,176 ล้านเหรียญ หรือเท่ากับในอีก 5 เดือนที่เหลือประเทศไทยจะต้องส่งออกให้ได้ 116,370 ล้านเหรียญ หรือเฉลี่ยเดือนละ 23,274 ล้านเหรียญ

เป้าสูงลิ่วปีหน้า 3.5%

ในระหว่างการมอบนโยบาย นายจุรินทร์ได้ให้โจทย์ทูตพาณิชย์ปรับบทบาทให้เป็น “พนักงานขายกิตติมศักดิ์” โดยบทบาทใหม่ต้องไม่ใช่แค่เมสเซนเจอร์ส่งข้อมูล แต่ต้องเร่งรัดการส่งออกสินค้าเกษตรเป้าหมาย 5 สินค้า (ข้าว-ยางพารา-มันสำปะหลัง-อาหาร-น้ำตาล) รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมอีกหลายรายการ ซึ่งทูตพาณิชย์ต้องรู้จักรายละเอียดของตัวสินค้าเป็นอย่างดี ดังนั้น ทางกระทรวงจึงจัดให้ทูตพาณิชย์ลงพื้นที่ จ.สงขลา-นครราชสีมา เพื่อให้ได้เข้าถึงข้อมูลจากแหล่งผลิตสินค้าโดยตรง ส่วนการ “บูรณาการงานกับทูตเกษตร” ในเรื่องมอนิเตอร์กฎระเบียบการค้าใหม่ ๆ ของผู้นำเข้าเพื่อเตรียมปรับปรุงการผลิตให้สอดรับกับระเบียบเหล่านั้น

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เห็นชอบเป้าหมายการส่งออกปี 2562 ขยายตัว 3% และปี 2563 ขยายตัว 3.5% ดังนั้น การเร่งรัดผลักดันการส่งออกท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าและปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ทูตพาณิชย์ต้องร่วมมือกับภาคเอกชนมองหาโอกาสใหม่ ๆ

สหรัฐสต๊อกล้นนำเข้าลด

นายนพดล คันธมาศ กงสุลฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก กล่าวถึงการปรับขึ้นภาษีใน 2 ครั้งในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่ผ่านมาเน้นโจมตีสินค้าทุนและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป “อาจไม่สร้างประโยชน์ให้กับไทยมากนัก” แต่การขึ้นภาษีครั้งที่ 3 เน้นไปที่สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเปิดโอกาสให้กับสินค้าไทย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีหลายประเทศที่ต้องการส่งสินค้าเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐเช่นกัน และที่สำคัญผู้นำเข้าสหรัฐเร่งนำเข้าสินค้าไปสต๊อกต่อเนื่องจนเกิด “ภาวะอิ่มตัว-คลังสินค้าเต็มเพื่อกักตุนไว้รอการจำหน่าย จึงคาดว่าในปีหน้าสหรัฐจะลดนำเข้าลง” อีกทั้งสหรัฐจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้น

ขณะที่ระบอบการปกครองของจีนนั้น ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งตลอดชีพมีผลให้การดำเนินนโยบายมั่นคงได้เปรียบกว่า

เปิดแผน 5 ตลาดหลัก

นางขวัญนภา ผิวนิล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแองเจลีส ในฐานะผู้แทนนำเสนอแผนผลักดันส่งออก 5 ตลาดเป้าหมาย สหรัฐ-สหภาพยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน-อาเซียน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 65% ของการส่งออก กล่าวว่า ปัญหาสงครามการค้าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดสหรัฐมากนัก แผนการส่งออก 3-6 เดือนนับจากนี้จะมุ่งไปที่กลุ่มอาหารแปรรูป, อาหารพร้อมรับประทาน, ยางพารา, มันสำปะหลัง, ธุรกิจบริการร้านอาหาร และแอนิเมชั่น เจาะกลุ่มคนอาเซียนในสหรัฐ คนรุ่นใหม่ โดยจะจัดกิจกรรมเจรจาการซื้อขาย รวมทั้งประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในห้างสรรพสินค้าในสหรัฐ และให้รางวัลคู่ค้าไทยในสหรัฐเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้นำเข้าในสินค้าไทย และรุกขยายตลาดออนไลน์

ในขณะที่ตลาดจีนสินค้าไทยที่มีโอกาส เช่น ทุเรียน, มังคุด, ลำไย, มะม่วง, เงาะ, ยางพารา, บริการแอนิเมชั่น และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดยแผนจะมุ่งเจาะตลาด “เมืองรอง” ประมาณ 10 มณฑล มีประชากรกว่า 300 ล้านคน โดยดำเนินการร่วมกับห้างสรรพสินค้าส่งเสริมการขายนำร่องในสินค้าทุเรียน มังคุด ลำไย และจัดกิจกรรม “ผูกใจมิตรแท้” มอบรางวัลให้คู่ค้าดีเด่นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ และจัดให้มีการเจรจาซื้อขายสินค้าเกษตรเป้าหมายในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในจีนและฮ่องกง เช่น งาน ASEAN-China Expo 2019 งาน CIIE 2019 เป็นต้น

ตลาดญี่ปุ่น เน้นสินค้าข้าว อาหารแปรรูป อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารพร้อมรับประทาน มุ่งเจาะตลาดบน เช่น มะพร้าว, กล้วยหอมทอง, ทุเรียน และจัดให้มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจส่วนสินค้าอื่น ๆ เช่น สินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าของตกแต่งบ้าน รุกกลุ่มโรงแรม ของใช้ในโรงงาน จะอาศัยจังหวะการจัดโอลิมปิก รุกธุรกิจ food service เข้าจัดคูหาร้านอาหารในที่พักนักกีฬา

ตลาดสหภาพยุโรป สินค้าเป้าหมายจะเป็น ข้าว, ยางพารา, ผักและผลไม้ ส่วนธุรกิจบริการที่มีโอกาส เช่น ร้านอาหารไทย โดยจะมีงาน ANUGA 2019 เดือนตุลาคมนี้ เป็นโอกาสในการร่วมแสดงสินค้าอาหาร นอกจากนี้ ตลาดผลิตภัณฑ์ยางพาราในเยอรมนีต้องมีสูงขึ้นเพื่อผลิตยางล้อ แต่ไทยต้องรักษามาตรฐาน FSC เพื่อรักษาตลาดนี้ให้ได้ ขณะที่ช่องทางออนไลน์ก็กำลังเติบโตมากขึ้น

ตลาดอาเซียน สินค้าเป้าหมาย เช่น ข้าว, ผักและผลไม้, อาหารและเครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์จากแป้ง, ยางพารา มีแผนผลักดันจะเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทย เช่น Top Thai Brande และ Thailand Week โดยร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า การจัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ และจะจัดคณะภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเจรจาผลักดันการส่งออกข้าวไปตลาดฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย-มาเลเซีย

4 ตลาดรองศักยภาพสูง

นางสาวสุพัตรา แสวงศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ อินเดีย ตัวแทนนำเสนอแผนตลาดเอเชียใต้-ละตินอเมริกา-แอฟริกา-ตะวันออกกลาง กล่าวว่า อินเดียยังต้องการนำเข้ายางพาราเพิ่มขึ้น ทาง สคต.จะจัดคณะผู้บริหารและผู้ส่งออกร่วมเจรจาซื้อขายยางในรูปแบบรัฐต่อรัฐ และเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนยางพาราไทย ยา และเวชภัณฑ์อินเดีย ส่วนตลาดละตินอเมริกาเป็นศูนย์กลางของสินค้ายานยนต์จึงมีความต้องการยางพารา ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยเช่นเดียวกับสินค้า เช่น ผลไม้ วัสดุก่อสร้าง ข้าว เครื่องจักรกลทางการเกษตร อาหาร ส่วนตลาดตะวันออกกลางเน้นการขยายตลาดข้าวและอาหารฮาลาล โดยผ่านการเจรจาจับคู่ธุรกิจ กระจายผ่าน Thai Mart ที่บาห์เรน และเข้าร่วมงาน Design & Hospitality