เตรียมฟังความเห็นสงขลา-ขอนแก่น 2 รอบสุดท้าย ชี้ชะตาฟื้น FTA ไทย-อียู

อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลงพื้นที่เชียงใหม่จัดสัมมนารับฟังความเห็นการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ภาคเอกชนหนุนให้ฟื้นเจรจาฯ ขยายตลาดสินค้าไทย หวั่นเสียโอกาสให้ประเทศอื่นที่มีเอฟทีเอกับอียูแล้ว กรมฯ เตรียมลงพื้นที่ซาวด์เสียง 2 รอบสุดท้ายที่สงขลา-ขอนแก่น ก่อนชงผลความเห็นเสนอ ครม.เคาะ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 กรมฯ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้มีส่วนกี่ยวข้องในภาคเหนือ ณ โรงแรมแคนทารี ฮิลล์ เชียงใหม่ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู และรับฟังความเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับผลการศึกษาเชิงเปรียบเทียบความตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรปและผลกระทบต่อไทย และโอกาสและความท้าทายของไทยในการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรปซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วม 200 คน

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กรมฯ ยังมีกำหนดจะลงพื้นที่จัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียในภาคใต้ จังหวัดสงขลา วันที่ 28 ตุลาคม 2562 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ก่อนรวบรวมผลการรับฟังความเห็นและผลการศึกษาวิเคราะห์เสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจในเรื่องนี้ต่อไป

“กรมฯ ขานรับนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ให้เร่งหาข้อสรุปการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู กรมฯ จึงได้ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์และผลกระทบจากการเจรจาดังกล่าว โดยได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาเป็นผู้ศึกษา และลงพื้นที่จัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอระดับนโยบายพิจารณาตัดสินใจในเรื่องนี้” นางอรมนกล่าว

สำหรับผลการให้ความเห็นในพื้นที่กรุงเทพฯ และชลบุรีซึ่งจัดไปก่อนหน้านี้ พบว่าภาคเอกชนต้องการให้ฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู เพื่อเป็นโอกาสในการขยายตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป สิ่งทอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ และยานยนต์และชิ้นส่วน อีกทั้งเกรงว่าไทยจะเสียโอกาสทางการค้าและการเป็นฐานการผลิต การกระจายสินค้า และการลงทุนในภูมิภาคให้ประเทศอื่นที่ได้จัดทำเอฟทีเอกับอียูแล้ว เช่น เวียดนามและสิงคโปร์

ขณะที่ผู้ประกอบการบางส่วนและภาคประชาสังคมมีข้อกังวลที่ไทยอาจจะต้องเปิดตลาดหรือปรับกฎระเบียบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การคุ้มครองพันธุ์พืช ทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งแวดล้อม และแรงงาน นอกจากนี้ กลุ่มเกษตรกรยังเสนอให้จัดตั้งกองทุนเอฟทีเอเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอ

ทั้งนี้ อียูถือเป็นตลาดใหญ่ ครอบคลุม 28 ประเทศในทวีปยุโรป มีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 4 ของไทย โดยในปี 2561 การค้าไทย-อียู มีมูลค่า 47,322 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.4 ของการค้าไทยกับโลก ขยายตัวร้อยละ 6.5 จากปี 2560 โดยไทยส่งออกไปอียู 25,041 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และนำเข้าจากอียู 22,281 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอียู เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากอียู เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา การลงทุนไทยในอียูมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2561 คิดเป็น 11,339 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าการลงทุนจากอียูเข้ามาในไทย ซึ่งอยู่ที่ 7,065 ล้านเหรียญสหรัฐ