ปตท.สผ. เผยแผน 5 ปี ชะลอ M&A ธุรกิจใหม่ เดินหน้าลงทุน 6 หมื่นล้านบาท เร่งเครื่องภารกิจขุดสำรวจ 20 หลุม

‘ปตท.สผ.’เผยแผน 5 ปี ชะลอ M&A ธุรกิจใหม่ เดินหน้าลงทุน 6 หมื่นล้านบาท เร่งเครื่องภารกิจขุดสำรวจ 20 หลุม หวังเพิ่มกำลังการผลิตเท่าตัว ทะลุ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มสำรองพลังงานประเทศ พร้อมเร่งพัฒนานวัตกรรมพลังงาน

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือปตท.สผ. เปิดเผยว่า บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ 5 ปี ระหว่าง ปี2562 -2566 ใหม่ โดยจะลดการเข้าซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) แต่จะหันมาลงทุนสำรวจแหล่งปิโตรเลียมใหม่แทน เนื่องจากการขยายกิจการด้วยการ M&A ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องสร้างฐานธุรกิจให้เติบโตก้าวกระโดด แต่หากเทียบแล้วผลตอบแทนการลงทุนยังน้อยกว่าการสำรวจซึ่งลงทุนหลุมละสิบหรือร้อยล้านบาท แต่ผลตอบแทนเป็นเท่าทวีคูณ ทั้งยังเป็นการเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมด้วย

กลยุทธ์จากนี้ไปบริษัทจะเน้นการสร้างพันธมิตรการลงทุนใน 5 ประเทศหลัก คือ ไทย มาเลเซีย เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และโอมาน จากทั้งหมดที่ได้ขยายการลงทุนไป 15 ประเทศ พร้อมหันมาเน้นเพิ่มปริมาณการผลิตจากโครงการหลักที่อยู่ในขั้นสำรวจปิโตรเลียมทั้งในเมียนมาและมาเลเซียให้สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้เร็วขึ้น อาทิ แหล่งก๊าซจากหลุมลัง เลอบาหา-1อาร์ดีอาร์2ในแปลงเอสเค410บี โครงการMD7เป็นต้น โดยวางงบประมาณสำหรับการลงทุนตามแผน 5 ปี ไว้ที่ 1,700-2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 60,000 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะปี 2563 มีแผนจะลงทุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ มีแผนขุดเจาะหลุมสำรวจเพิ่ม 20 หลุม โดยเฉพาะในในมาเลเซีย ประเทศเป้าหมายจะมีถึง 11 หลุม และยังมีที่เมียนมา โอมาน และ UAE อีกด้วย

“หากดำเนินการตามแผนการลงทุนดังกล่าวจะทำให้มีกำลังการผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 3.5 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 6-7แสนบาร์เรลต่อวัน หรือโตเฉลี่ยปีละ 5-7% ส่วนในปี 2562 จะมีกำลังการผลิตปิโตรเลียมอยู่ที่ 4.2แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากต้นปี2562ที่มีกำลังการผลิต3.7แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากบริษัทชนะประมูลแหล่งเอราวัณและบงกชที่สิ้นสุดอายุสัญญาสัมปทานในปี2565-66 ทำให้รับรู้กำลังผลิตเต็มที่ การเข้าซื้อกิจการเมอร์ฟี่ ออยล์ฯในมาเลเซีย ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในปีนี้ 50,000 บาร์เรลต่อวันและจะเพิ่มเป็น 70,000 บาร็เรลต่อวันในปีหน้า รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัทพาเท็กซ์โฮลดิ้ง บี.วี. ทำให้รับรู้เพิ่ม 20,000 บาร์เรลต่อวัน”

ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตจะอยู่ที่30เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่ามีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวต่อเนื่องอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีก็ยังไปได้ ส่วนทิศทางการมาของรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีไม่กระทบต่อบริษัท เพราะบริษัทขายก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตพลังงานสะอาดสัดส่วนสูงถึง 70% เทียบกับน้ำมัน 30%”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความคืบหน้าของโครงการแหล่งมาเรียนา ออยล์ แซนด์ที่แคนาดาอาจจะทบทวนแนวทางว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงหากราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ยาก หากอยู่ที่ 90-100 เหรียญสหรัฐจะอยู่ได้ เราจึงไม่อยากฝืนรอพัฒนา โดยอยู่ระหว่างสรุปว่าจะขายออกไปหรือไม่ เพราะมีผู้สนใจลงทุน หรือคืนแปลงนี้ให้กับรัฐบาล ส่วนแหล่ง Cash Maple ที่ออสเตรเลีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหาผู้ร่วมทุนหรือขายโครงการแหล่ง Cash Maple ออกไปคาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส1 ปี 2563

นอกจากนี้ยังเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ โดยหลังจากตั้ง บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (เออาร์วี) ไปเมื่อปีก่อน ก็สามารถทำรายได้กลับสู่บริษัทได้ และมีแนวโน้มดีขึ้น เพราะเพิ่งจะพัฒนาสินค้านวัตกรรมที่อยู่ระหว่างทดสอบขั้นสุดท้ายได้อีกหลายรายการ อาทิ หุ่นยนต์ใต้น้ำอัตโนมัติไร้สาย ( IAUV) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบอุปกรณ์ใต้ทะเล และลดต้นทุนได้กว่า 50% และยังอยู่ระหว่างพัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติที่จะลงไปดำเนินซ่อมท่อใต้ทะเล ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีเพราะเทคโนโลยีเหล่านี้นับวันยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะไทยมีท่อที่ใช้มานานแล้วความยาวกว่า 1,000 กม. ซึ่งจำเป็นต้องสำรวจและบำรุงรักษาก่อนชำรุดรั่วจนทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ

อนึ่ง แผนการลงทุน 5 ปี เป็นไปตาม กลยุทธ์ ”Energy Partner of Choice” มุ่งเน้นสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเติบโตไปด้วยกันมีความสำคัญมากกว่าการแข่งขัน จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินงานการขยายธุรกิจ (Expand) โดยเน้นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีความชำนาญและมองหาโอกาสทางธุรกิจ และ Execute คือ การเพิ่มปริมาณผลผลิตรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน